นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังการเปิดรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเริ่มวันที่ 7 ต.ค.นี้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ตนจะเสนอแนวทางการระบายข้าว ซึ่งในส่วนการตลาดควรจะมี 3 ระบบประกอบกันเพื่อให้ตลาดดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1.การขายข้าวโดยตรงจากรัฐบาลเอง 2.ผ่านกลไกตลาดปกติ เพื่อให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเลี้ยงตัวเองได้ และ 3.การใช้กลไกของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า(เอเฟท) ซึ่งที่ผ่านมายังมีการใช้ผ่านกลไกนี้น้อยมาก

"ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับไม่ สามารถกำหนดราคาข้าวได้เอง เช่นเดียวกับน้ำตาลทรายที่ไทยเป็นผู้ผลิตอันดับสองของโลกแต่กลับถูกกำหนดราคาโดยผู้ซื้ออย่างสหรัฐ ซึ่งต้องการกดราคาน้ำตาลทรายให้ต่ำเพื่อการบริโภคของตนเอง ขณะที่ตลาดข้าวกลับถูกกำหนดโดยพ่อค้าข้าว ส่วนที่ผู้ส่งออกของไทยเห็นว่าการรับจำนำจะทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดเพราะข้าวไทยมีราคาแพงกว่าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ผมมองว่าผู้ส่งออกส่วนใหญ่ยังเคยชินกับการส่งออกข้าวในราคาถูก ทั้งๆ ที่ข้าวไทยควรมีหลายระดับราคาให้เลือก และผมมั่นใจว่าโครงการรับจำนำจะไม่ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดแน่นอน" นายยรรยงกล่าว

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังนี้เชื่อว่าราคาข้าวในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น 20% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก จากนโยบายของรัฐบาลที่จะเปิดรับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงตันละ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท สำหรับแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญทั้งยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะชะลอตัวลงตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ภัยธรรมชาติ และต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ที่มา ข่าวสด