www.thairiceexporters.or.th  
home about us members contact us FAQ link site map English Thai

โรงสีฟันกำไรข้าวหนีน้ำ รัฐจับตา 3 แหล่ง


แหล่งข่าวกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าวันที่ 28 กันยายน 2554 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดสัมมนาใหญ่เพื่อซักซ้อมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 2554/55 ที่รัฐบาลเห็นชอบให้เริ่มโครงการวันที่ 7 ตุลาคม 2554 เร็วกว่ากำหนดการเดิมที่จะให้เริ่มรับจำนำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 ทั้งนี้เพราะโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลชุดก่อนได้สิ้นสุด โดยเฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเดือนพฤษภาคมรอบสองจะอยู่ในข่ายของฤดูปลูกข้าวนาปี ซึ่งจะต้องมาใช้สิทธิ์โครงการรับจำนำ จึงต้องเร่งดำเนินโครงการรับจำนำให้เร็วขึ้นเพื่อรองรับข้าวของเกษตรกรกลุ่มนี้
 
"เนื่องจากเป็นการซักซ้อมใหญ่ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมรับฟังจำนวนมาก เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันเกี่ยวกับรายละเอียดของการดำเนินโครงการ กรมการค้าภายในจึงได้เรียนเชิญนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.)มาเป็นประธานเปิดงานในวันดังกล่าว มั่นใจว่าหลังจากรับฟังรายละเอียดแล้วทุกฝ่ายจะมีความเข้าใจตรงกันยิ่งขึ้น"

นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าโครงการรับจำนำข้าวที่จะเข้าโครงการจำนำ 7 ตุลาคม จะต้องเป็นข้าวนาปีปีการผลิต 2554/55 เท่านั้น จะเป็นข้าวผลิตจากฤดูการผลิตอื่นไม่ได้ ขณะนี้ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับความผิดปกติที่จะเกิดขึ้น
 
ด้านนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์  กล่าวว่าคณะอนุกรรมการกำกับดูแลรับจำนำข้าว ที่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ภูมิ สาระผล) เป็นประธานอนุกรรมการ กำลังจับตาการสวมสิทธิ์ เพราะวัตถุประสงค์ของโครงการจำนำต้องการให้ชาวนาได้ประโยชน์สูงสุด ได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยข้าวที่ติดตามมี 3 ส่วนคือ 1. ข้าวที่โรงสีซื้อไว้เดิม 2. ข้าวชาวนาแต่เปลี่ยนมือไปอยู่กับโรงสี ซึ่งโรงสีอาจใช้สิทธิ์ชาวนาโดยให้ส่วนต่างตันละ 2,000-3,000 บาท 3. ข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ
 
แหล่งข่าวจากวงการโรงสีข้าว เปิดเผยว่ากระทรวงพาณิชย์มีประสบการณ์ทั้งโครงการประกันรายได้และโครงการรับจำนำ คิดว่าน่าจะมีความพร้อมโครงการรับจำนำที่จะเริ่มขึ้นวันที่ 7 ตุลาคม อย่างไรก็ดีปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรของรัฐบาลก็ตามมักจะมีกระบวนการทุจริตเกิดขึ้นเสมอโครงการรับจำนำข้าวก็เช่นเดียวกัน สำหรับโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิตปี 2554/55 ซึ่งเป็นโครงการรับจำนำโดยเฉพาะเรื่องราคาและปริมาณไม่เคยมีลักษณะนี้มาก่อน โดยราคาที่กำหนดเป็นราคานำตลาดค่อนข้างสูงและปริมาณรัฐบาลประกาศรับจำนำทุกเม็ด สิ่งที่พึงระวังในช่วงของการรับจำนำคือการสวมสิทธิ์ชาวนา
 
แหล่งข่าวเผยเพิ่มเติมว่าข้อที่พึงระวังและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือก่อนหน้านี้ทั้งโรงสีและผู้ส่งออกได้กว้านซื้อข้าวเข้าเก็บสต๊อกจำนวนมาก ที่ผ่านมาทั้งโรงสีและผู้ส่งออกอ้างว่าเหตุที่กว้านซื้อข้าวเข้าเก็บสต๊อกเพราะต้องการทำกำไรจากโครงการรับจำนำของรัฐบาล เพราะหากรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าตันละ 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท ราคาข้าวสารเจ้า 5% จะอยู่ที่กระสอบละ 2,600 บาท ข้าวหอมมะลิกระสอบละ 4,000 บาท เพราะฉะนั้นโอกาสทำกำไรเห็นจะจะอยู่แล้ว จากราคาข้าวที่ซื้อมากระสอบละตั้งแต่ 1,300-1,800 บาท สำหรับข้าวขาว และกระสอบละ 3,000 บาท สำหรับข้าวหอมมะลิ ซึ่งโรงสีและผู้ส่งออกได้กำไรจากส่วนต่างกันอย่างแน่นอน
 
อย่างไรก็ดีช่องทางทำกำไรนอกจากอาศัยส่วนต่างราคาข้าวที่ซื้อไว้กับราคาข้าวหลังรับจำนำที่สูงขึ้นแล้ว เนื่องจาก 1-2 เดือนที่ผ่านมาชาวนาประสบปัญหาน้ำท่วมนาข้าว จำเป็นต้องรีบเก็บเกี่ยวข้าวหนีน้ำ ซึ่งชาวนาไม่มีที่เก็บข้าวจึงต้องนำขายให้กับโรงสีทันที เนื่องจากเป็นข้าวหนีน้ำโรงสีจึงซื้อไว้ราคาต่ำที่สำคัญเป็นข้าวที่ผลิตฤดูการผลิตนาปี 2554/55 เพราะชาวนาปลูกเดือนพฤษภาคมรอบสอง ซึ่งถือว่าเป็นข้าวนาปีที่สามารถเข้าร่วมโครงการจำนำได้ แต่ชาวนานำเข้าโครงการไม่ทันเพราะต้องรีบเกี่ยวหนีน้ำ ซึ่งจะเป็นข้าวที่โรงสีบางโรงอาจฉวยโอกาสทำกำไรได้
 
"ความจริงแล้วโรงสีและชาวนาในพื้นที่ปกติจะเกื้อกูลกันอยู่แล้ว ชาวนาเกี่ยวข้าวหนีน้ำไม่มีที่เก็บโรงสีอาจช่วยเก็บให้ เมื่อชาวนานำข้าวเข้าโครงการรับจำนำโรงสีอาจเก็บค่าฝากเก็บจากชาวนา เพื่อให้ชาวนาได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะชาวนาหลายคนได้รับความเดือดร้อนอย่างรุนแรงจากน้ำท่วม บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว  แต่ถ้าโรงสีซื้อขาดข้าวจากชาวนาในราคาถูกแล้วนำมาอบเก็บรักษาเพื่อรอเข้าโครงการจำนำเอง โดยยืมชื่อชาวนาและจ่ายค่าสวมสิทธิ์ให้กับชาวนาตันละ 2,000-3,000 บาท เป็นสิ่งที่ทั้งโรงสีและชาวนาทำไม่ถูกต้อง หากเป็นกรณีนี้ควรจะลงโทษทั้งสองฝ่ายโดยการขึ้นบัญชีดำทั้งโรงสีและชาวนาไม่ให้เข้าร่วมโครงการต่อไป"แหล่งข่าวกล่าวและว่า
 
"เหตุที่ต้องให้ขึ้นบัญชีดำทั้งโรงสีและชาวนา เพราะชาวนาจะมีความกลัวมากกว่าโรงสี กลัวว่าหากไม่ได้รับการจำนำแล้วต้องขายราคาตลาดในราคาที่ต่ำ ชาวนาจะไม่กล้าทุจริตยอมขายชื่อตัวเองให้กับโรงสี หากขึ้นบัญชีดำเฉพาะโรงสี ผู้ประกอบการโรงสีบางรายอาจซิกแซกเข้าร่วมโครงการได้"
 
สำหรับความเคลื่อนไหวด้านการสั่งซื้อข้าวจากโรงสีของผู้ส่งออกนั้น ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก โดยผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่บริษัท นครหลวงค้าข้าว จำกัด บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด และบริษัท เอเซียโกลเด้นไรซ์ จำกัด ได้ออกกว้านซื้อข้าวจำนวนมาก บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ซื้อปริมาณมากที่สุดและราคาสูงสุด ข้าวสาร 5% กระสอบละ 1,850 บาท เอเซียโกลเด้นไรซ์ กระสอบละ 1,780 บาท และนครหลวงค้าข้าว กระสอบละ 1,680 บาท ขณะที่คำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศไม่คึกคัก วันจันทร์ที่ 26 กันยายน ศกนี้ องค์กรสำรองอาหารแห่งประเทศอินโดนีเซีย (บลูล็อก) ประกาศเปิดประมูลซื้อข้าวขาว 5% จากประเทศไทย จำนวน 70,000 ตัน จากประเทศเวียดนาม 30,000 ตัน

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ

TREA on Facebook


©
Thai Rice Exporters Association

37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678

E-mail :
contact@thairiceexporters.or.th


Copyright © 2009 All rights reserved by Thai Rice Exporters Association.