กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าขณะนี้ราคาข้าวสารในประเทศปรับขึ้นกระสอบละ 250 บาท หรือเพิ่มขึ้นตันละ 2,500 บาท โดยราคาขายส่งข้าวขาว 100% ไม่รวมกระสอบขยับขึ้นจาก 1,600-1,650 บาท เป็น 1,850-1,900 บาท/กระสอบ(100 กก.) และข้าวขาว 5% จาก1,550-1,600 บาท เป็น 1,800-1850 บาท ข้าวเปลือกจากตันละ 1-1.1 หมื่นบาท เป็น 1.1-1.2 หมื่นบาท

แหล่งข่าวจากวงการส่งออกข้าวเปิดเผยว่า ราคาข้าวสารภายในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากผู้ประกอบการภายในประเทศกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ผลิตข้าวถุง ได้กว้านซื้อข้าวก่อนที่ต้นทุนข้าวสารจะขยับขึ้นในเดือนหน้า ประกอบกับมีกลุ่มพ่อค้าข้าวโรงสีหันมาซื้อข้าวเก็บไว้ เพื่อรอขายเก็งกำไรในช่วงเปิดโครงการรับจำนำ เพราะเมื่อเปิดโครงการวันที่7 ต.ค.นี้แล้ว ตลาดข้าวในประเทศน่าจะเพิ่มตามต้นทุนข้าวเปลือก 1.5 หมื่นบาท/ตัน ซึ่งมีกระแสข่าวว่าโรงสีบางส่วนเตรียมนำข้าวเปลือกที่ซื้อมาช่วงนี้ สวมสิทธิชาวนา เนื่องจากข้าวเปลือกของชาวนาหลายพื้นที่ถูกน้ำท่วม จึงต้องเก็บเกี่ยวขายให้โรงสีและพ่อค้าแทน

ฟากผู้ประกอบการโรงสีก็ออกมาตอบโต้ทันทีว่า ผู้ส่งออกบางกลุ่มได้ร่วมมือกับตัวแทนนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ (โบรกเกอร์) ชะลอซื้อข้าวจากไทยชั่วคราว เพื่อบีบให้รัฐบาลระบายข้าวราคาถูกออกมาเนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อจากต่างประเทศมีสต๊อกข้าวอยู่สูง และมีตัวเลือกในการซื้อข้าวจากเวียดนามและอินเดียจึงไม่จำเป็นต้องซื้อข้าวจากไทยเพียงอย่างเดียว

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวว่า 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาข้าวในประเทศขยับขึ้นรวดเร็ว เป็นผลจากโครงการรับจำนำที่ใกล้จะเริ่มทำให้ผู้ส่งออกชะลอเจรจาซื้อขายเพราะตลาดยังรับราคาที่แพงขึ้นไม่ได้ จึงหันไปซื้อข้าวจากเวียดนามอินเดีย ที่เพิ่งกลับมาส่งออกแทนเชื่อว่าจะกระทบยอดส่งออก เดือนก.ย. อาจลดถึง 30% เหลือส่งออกเพียง 6.5 แสนตัน

อย่างไรก็ดี แนวโน้มราคาข้าวเชื่อว่าจะปรับขึ้นอีกทั้งในและต่างประเทศ โดยในประเทศข้าวขาว100% อาจถึงตันละ 2.2 หมื่นบาทจาก 1.8-1.9 หมื่นบาท ส่วนราคาเอฟโอบีที่ขึ้นมาตันละ 620 เหรียญสหรัฐ อาจทะลุ 700 เหรียญสหรัฐแต่เชื่อว่าราคาเหล่านี้ผู้ซื้อไม่ยอมรับ เพราะเวียดนาม อินเดีย ขายถูกกว่าไทยตันละ 50-100 เหรียญสหรัฐ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ปีหน้าส่งออกจะลดลง 50%

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เสียงวิจารณ์นโยบายจำนำข้าวจะทำให้สูญเงินโดยเปล่าประโยชน์ พร้อมรับคำชี้แนะมาปรับปรุง

ที่มา โพสต์ทูเดย์