ุ
นายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในปี 2555ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ที่ปริมาณ9.5ล้านตัน มูลค่า6,800-7,000ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2554 ปริมาณลดลงร้อยละ 10.4 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9-11.1โดยมั่นใจว่าปริมาณการส่งออกไม่น่าจะต่ำมากเหมือนกับที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้ประเมินเอาไว้ เพราะข้าวไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เนื่องจากมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ
       
สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวไทย คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรก 2555 (ม.ค.-มิ.ย.) ตลาดข้าวจะเป็นของผู้ซื้อและสถานการณ์การค้าและราคาข้าวในตลาดโลกจะลดลง เนื่องจากผลผลิตและสต๊อกข้าวโลกต้นปีที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอินเดียยังคงส่งออกข้าวขาวต่อเนื่อง รวมทั้งประเทศผู้ซื้อ โดยเฉพาะฟิลิปปินส์จะสั่งซื้อข้าวในราคาที่ลดลงในช่วงที่ผลผลิตข้าวฤดูถัดไปของเวียดนาม อินเดียและไทยออกสู่ตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ไทยยังคงประสบปัญหาการแข่งขันในการส่งออกข้าวขาวหรือข้าวนึ่งกับอินเดียหรือเวียดนามที่เสนอราคาขายต่ำกว่า
       
อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงสามารถส่งออกข้าวคุณภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหอมมะลิไทยและข้าวเหนียวได้ เนื่องจากข้าวเปลือกทั้ง 2 ชนิดนี้ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมไม่มากนัก
       
ส่วนในไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป ช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. คาดว่าประเทศผู้ซื้อจะหันมานำเข้าข้าวจากไทย หากสภาพอากาศที่ผันผวนและภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศคู่แข่งประสบกับสถานการณ์ข้าวที่ตึงตัว และอาจชะลอหรือระงับการส่งออกข้าว
       
สำหรับผลผลิตข้าวไทยในปี 2554/55 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พยากรณ์เบื้องต้นว่าจะมีประมาณ 31.474 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 4.1 แยกเป็นข้าวนาปี 20.364 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 7.2 เนื่องจากข้าวเปลือกเจ้านาปีบางส่วนเสียหายจากน้ำท่วม ข้าวนาปรัง 11.110 ล้านตัน เพิ่มสูงขึ้น ร้อยละ 9.6 ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากน้ำในเขื่อนต่างๆ อยู่ในระดับสูง ประกอบกับราคารับจำนำข้าวเปลือกสูง จูงใจให้เกษตรกรปลูกข้าวนาปรังเพิ่มขึ้น
       
นายมนัสกล่าวว่า การส่งออกข้าวไทยในปี 2554 มีประมาณ 10.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มูลค่า 6,302 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 และเมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 190,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 ขณะที่ราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 595 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7
       
โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2554 (ม.ค.-มิ.ย.) การส่งออกข้าวเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านตัน เนื่องจากภาวะตลาดเป็นของผู้ขายและหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปากีสถานประสบอุทกภัยและมีข้าวเหลือส่งออกปริมาณจำกัด ประกอบกับอินเดียและอียิปต์ได้ห้ามส่งออกข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ รวมทั้งประเทศผู้นำเข้าในแถบภูมิภาคแอฟริกาและตะวันออกกลาง โดยอินโดนีเซียและบังกลาเทศต้องการนำเข้าข้าวเพื่อรักษาระดับปริมาณข้าวในสต็อกที่ลดลง รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในตูนีเซีย อียิปต์ ลิเบีย และโอมาน และยังมีการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าหันมาสั่งซื้อข้าวขาวและข้าวนึ่งจากไทย
       
สำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 (ต.ค.-ธ.ค.) ภาวการณ์แข่งขันในการส่งออกข้าวในตลาดโลกรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากอินเดียได้อนุญาตการส่งออกข้าวที่มิใช่ข้าวบาสมาติตั้งแต่เดือนก.ย.2554 เป็นต้นมา และได้เสนอราคาขายต่ำกว่าเวียดนามและไทย ทำให้ประเทศผู้นำเข้าในแถบภูมิภาคแอฟริกาและตะวันออกกลางได้หันไปนำเข้าข้าวขาวหรือข้าวนึ่งจากอินเดียในปริมาณมาก
       
ทั้งนี้ ตลาดหลัก 10 ลำดับแรกของไทยในปี 2554 แยกตามมูลค่า ได้แก่ ไนจีเรียร้อยละ 14.1 อินโดนีเซีย 7.3 สหรัฐฯ 6.3 บังกลาเทศ 5.7 แอฟริกาใต้ 5.1 โกตติวัวร์ 5.1 อิรัก 4.6 จีน 3.6 กานา 3.3 ฮ่องกง 3.2 และตลาดอื่นๆ ร้อยละ 41.6 โดยมีมูลค่าส่งออกข้าวขาวสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 30.9 รองลงมาเป็นข้าวหอมมะลิไทยร้อยละ 30.8 ข้าวนึ่งร้อยละ 28.2 และข้าวชนิดอื่นๆ ร้อยละ 10.1

ที่มา ASTVผู้จัดการรายวัน