ุ
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูผลิต 2554/2555 สิ้นสุดลงเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีปริมาณข้าวเข้าโครงการ 6.77 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวเปลือกเจ้า 2.90 ล้านตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 15,242 ตัน ข้าวเปลือกหอมจังหวัด 335,459 ตัน ข้าวเปลือกเหนียว 439,829 ตัน และข้าวเปลือกหอมมะลิ 3.07 ล้านตัน สามารถดึงให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศขยับขึ้นได้สูงกว่าปีก่อนเฉลี่ย 15% หรือราวตันละ 1,500-2,000 บาท โดยข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยตันละ 15,000-16,500 บาท ข้าวเปลือกหอมจังหวัด 11,000-16,000 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 9,500-12,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 9,000-13,900 บาท และข้าวเปลือกเหนียว 11,000-14,500 บาท
"ในโครงการรับจำนำครั้งนี้ ใช้เงินค่าใช้จ่ายดำเนินการ เช่น ค่าเช่าโกดังกลาง และอื่น ๆ รวมกว่า 30,000-40,000 ล้านบาท เงินทุนหมุนเวียนอีก 100,000 ล้านบาท ต่ำกว่าหลายคนเคยคาดการณ์ไว้สูงถึง 400,000 ล้านบาท เปรียบเทียบแล้วดีกว่าโครงการประกันรายได้ เพราะเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ไปมีโอกาสกลับคืนมาหากนำข้าวในสต๊อกไปขาย แถมดึงราคาข้าวในประเทศสูงขึ้น ส่วนการประกันรัฐไม่มีโอกาสได้เงินคืนเพราะจ่ายขาดให้เกษตรกร และยังไม่สามารถดึงราคาข้าวในประเทศขยับขึ้นได้"
นายยรรยงกล่าวถึง แนวทางการระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ปัจจุบันมีทางเลือกหลายทางออก ได้แก่ การแลกเปลี่ยน (บาร์เตอร์เทรด) กับอุปกรณ์แท็บเลตของจีนตามที่รัฐบาลอยู่ระหว่างเจรจากัน และจะไม่มีผลทำให้ราคาข้าวในประเทศเปลี่ยนแปลง เพราะไม่ใช่การซื้อขายในตลาดจริง นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับหลายประเทศ มีความเชื่อเกี่ยวกับวิธีการนี้จะไม่ทำให้ราคาข้าวในตลาดปรับลดลง แม้จะเป็นการขายในราคามิตรภาพ แต่ไทยยังได้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วย หากเปรียบเทียบกับการขายในตลาดธรรมดา ซึ่งต้องระวังกรณี
ผู้ส่งออกไปขายต่างประเทศราคาต่ำจะฉุดราคาในประเทศร่วงลงด้วย
"ระยะ เวลาคงเป็นช่วงปลาย ๆ ฤดู กระทรวงไม่ห่วงจะระบายสต๊อกข้าวไม่ออก แต่ตอนนี้ปล่อยให้ประเทศผู้ส่งออกรายอื่น ๆ ขายไปก่อน อย่างอินเดียก่อนหน้านี้กลับมาส่งออกอีกครั้งก็เป็นการขายข้าวเก่าในสต๊อก ราคาต่ำ แต่ทยอยขายเกือบหมดแล้ว ต่อไปคงจะชะลอการ
ส่งออก ส่วนเวียดนามก็เช่นกัน เมื่อปริมาณข้าวของ 2 ประเทศนี้หมดเมื่อไร ไทยถึงจะเริ่มระบายออกบ้าง ตอนนี้รัฐบาลต้องอึดเก็บสต๊อกไว้รอจังหวะราคาดีจึงจะทำตลาดเต็มที่" นายยรรยงกล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
|