ุ
นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคม ผู้ส่งออกข้าวไทย แถลงทิศทางการส่งออกข้าวไทย ในปี 2555 ว่าผู้ส่งออกจะต้องจับตาดู 2 สถานการณ์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทย สถานการณ์แรก คือ อินเดียหยุดการส่งออกข้าวหลังเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป และเมื่ออินเดียหยุดการส่งออกข้าวก็จะส่งผลให้ไทยส่งออกข้าวได้ทั้งปี 2555 ประมาณ 8 ล้านตัน สถานการณ์ที่สองก็คืออินเดียไม่หยุดที่จะส่งออกข้าวไทยจะส่งออกข้าวได้เพียง 6.5 ล้านตัน ซึ่งถือว่าเป็นการส่งออกน้อยที่สุดหากเทียบการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ทางกระทรวงเกษตรสหรัฐ(USDA) กลับคาดการณ์การส่งออก ข้าวไทยในปี 2555 ว่าไทยจะส่งออกข้าวได้เพียง 7 ล้านตันเท่านั้น ขณะนี้เวียดนามจะส่งออกข้าวได้ 6.7 ล้านตัน อินเดีย จะส่งออกข้าวได้ 4.5 ล้านตัน ปากีสถานจะส่งออก ข้าวได้ 3.75 ล้านตัน สหรัฐอเมริกาจะส่งออกข้าวได้ 3 ล้านตัน และกัมพูชาจะส่งออกข้าวได้ 1 ล้านตัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการส่งออกที่คาดการณ์ไว้นี้ยังไม่ได้นับรวมการส่งออกข้าวแบบจีทูจี(รัฐต่อรัฐ) เนื่องจากเป็นตัวเลขการส่งออกเฉพาะที่เกิดจากการ ส่งออกของภาคเอกชน แต่หากรัฐบาลสามารถ ส่งออกข้าวแบบจีทูจีได้มาก ก็เชื่อว่าตัวเลขการ ส่งออกข้าวไทยอาจจะขยับเพิ่มขึ้นได้

นอกจาก 2 สถานการณ์ ที่ต้องจับตาว่า จะมีผลต่อการส่งออกข้าวไทยแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นที่มีผลต่อการส่งออกข้าวไทย คือ ราคาข้าวไทยที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งเป็นผล ที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล อีกทั้งเวียดนามเริ่มหันมาทำตลาดข้าวหอมมะลิ พม่าหันมาผลิตข้าวนึ่ง ข้าวหอมมากขึ้น กัมพูชา ตั้งเป้าการส่งออกข้าวหอมมะลิที่ 1 ล้านตัน ในปี 2558 เวียดนามตั้งเป้าส่งออกเพิ่มขึ้น 8 แสนตันต่อปี นั้นหมายความว่า ตลาดข้าวไทยก็จะคู่แข่งเข้ามา แย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น

อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงมาจากบราซิล อุรุกวัย ที่ก่อนหน้านี้เป็นประเทศผู้นำเข้าแต่ขณะนี้กลับหันมาผลิตข้าวนึ่งเพื่อการส่งออก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งผลให้การแข่งขันขายข้าวไทยในตลาดโลกลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องราคาข้าวที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงใหญ่ที่มีผลต่อการ ส่งออกข้าวไทยเป็นอย่างมากซึ่งขณะที่ราคาส่งออก ข้าวไทยอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ก็ยังทำตลาดส่งออกลำบาก แต่หากไทยส่งออกข้าวในราคา 800 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามเป้าหมายของรัฐบาลเชื่อว่า คงจะยากที่จะส่งออกข้าวได้

นางสาวกอบสุขกล่าวว่า ความคาดหวัง ที่สมาคมต้องการจากภาครัฐ คือต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือให้ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ หรือไม่ ก็ขอให้มีการกำหนดเงื่อนไขพิเศษให้ผู้ส่งออกสามารถเสนอให้ผู้ซื้อสนใจที่จะซื้อข้าวไทย รวมทั้ง มีแผนที่จะส่งออกข้าวไทยเป็นอย่างไรก็ให้มีความชัดเจนให้ผู้ส่งออกได้รับรู้บ้างเนื่องจากขณะนี้ผู้ส่งออก ยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนเพื่อให้การส่งออก ข้าวไทยไปในทิศทางที่ดี นอกจากนี้ การระบายข้าว ของรัฐบาล ก็ควรที่จะเปิดกว้าง สำหรับข้าวนาปรัง หากรัฐบาลต้องการที่จะจำนำข้าวนาปรังแล้ว ส่วนหนึ่งก็ต้องการให้ประกันรายได้ไปด้วยเนื่องจาก ไม่ต้องการให้จำนำทั้งหมดเพราะจะส่งผลต่อราคาและทำให้การส่งอออกข้าวหดตัว

ด้านนายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลต้องการเป็นผู้กำหนดราคาข้าวของโลกนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะหลายประเทศ ขณะนี้ก็ผลิตข้าวทั้งเพื่อการส่งออกและบริโภคเองในประเทศแล้ว และเห็นว่าหน้าที่ของรัฐบาลขณะนี้ที่ต้องทำก็คือ การทำอย่างไรถึงจะขายข้าวที่มีอยู่ในโกดังของรัฐ จากโครงการรับจำนำไม่ให้ขาดทุนก็พอ เพราะข้าว โดยเฉพาะข้าวหอมหากเก็บไว้นานความหอมก็จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ขายก็จะไม่ได้ราคา ตรงนี้รัฐบาล คิดไว้หรือยังว่าจะขายออกไปเมื่อไร จะได้ไม่ขาดทุน และการที่บอกว่าจะทำให้ข้าวไทยขายได้ในราคาที่สูง นั้น รัฐจะทำอย่างไรมีเครื่องมืออะไรให้กับผู้ส่งออก รัฐจะสามารถชดเชยส่วนต่างราคาได้หรือไม่

ซึ่งประเด็นเหล่านี้คงทำได้ยาก และหากรัฐบาลยังคงเดินหน้าจะรับจำนำต่อไปโดยกำหนดราคาไว้สูงผู้ส่งออก็คงทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมรับสภาพ ที่สำคัญคือ มีการพยายามขอเข้าพบนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ หลายครั้งเพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายด้านข้าวแต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบรับ ทำให้ตอนนี้ผู้ส่งออกข้าวก็เหมือนกับคนตาบอดที่กำลังหลงทาง เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ยังเชื่อมั่นว่า ความต้องการ ข้าวของตลาดโลกยังมีความต้องการสูงพอๆ กับปริมาณการผลิตข้าวที่ผลิตได้ เพราะผลผลิตที่ ลดลงจากปัญหาอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา และเห็นว่า ผู้ประกอบการไทยควรรู้จักต่อรองกับประเทศผู้นำเข้า และรัฐก็ยังมั่นใจว่าเรายังมีข้าวคุณภาพดี ที่จะสามารถระบายได้ในราคาที่เหมาะสม

ที่มา แนวหน้า