ุ
นายบุญทรง  เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุม "ทิศทางและนโยบายข้าวไทยปี 2555" ร่วมกับผู้บริหารของบริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ 6 บริษัท นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย และนายกสมาคมส่งเสริมชาวนาไทยว่า ได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องกันในหลายเรื่อง ที่สำคัญคือ จะร่วมกันผลักดัน และยกระดับราคาข้าวที่จะส่งออกไปต่างประเทศในฤดูการผลิตนี้ รวมถึงฤดูการต่อๆ ไปให้เป็นราคาที่สมดุล เหมาะสมในลักษณะ win win  และได้ชี้แจงโครงการรับจำนำว่า รัฐบาลจะคงดำเนินการต่อจนจบสิ้น กล่าวคือในฤดูข้าวปี 2554/55 จะดำเนินการให้แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ตามที่ได้ประกาศเอาไว้
 
ส่วนฤดูข้าวนาปรังที่กำลังจะออกมารัฐบาลมีความเป็นห่วง ถ้าขบวนการมีช่องว่างของเวลาอาจจะทำให้เกิดความสับสน ทั้งผู้ปลูก และผู้ค้า ดังนั้นรัฐบาลจะดำเนินการโครงการให้มีความต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ 1 มีนาคม 2555 ก็จะเริ่มรับจำนำข้าวในโครงการใหม่ ส่วนราคารับจำนำที่จะใช้ในโครงการจะได้นำไปหารือกับระดับนโยบายคือนายกรัฐมนตรีอีกครั้งแต่ทั้งนี้ไม่น่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าที่ดำเนินการอยู่ในโครงการปัจจุบัน  โดยรัฐบาลจะรับจำนำข้าวทุกเมล็ดเหมือนที่เคยประกาศไป แม้ตัวเลขรับจำนำข้าวโครงการล่าสุดตั้งเป้าจะรับจำนำให้ได้ถึง 10 ล้านตันข้าวเปลือก แต่ตัวเลข ณ ปัจจุบันยังไม่ถึง 6 ล้านตัน ซึ่งอาจเป็นผลจากเกษตรกรอาจมีการขายข้าวออกไปก่อนการประกาศโครงการรับจำนำ
 
ประเด็นอื่นที่เห็นพ้องกัน คือ จะมีการจัดแบ่งประเภทชั้นมาตรฐานของข้าวส่งออกให้มีหลายเกรดมากขึ้น แทนที่จะมีมาตรฐานหรือเกรดเดียวเหมือนกรณีข้าวหอมมะลิในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ส่งออก ทางเลือกแก่ผู้บริโภคในต่างประเทศมากขึ้น  และสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ และผู้ประกอบการยังเห็นพ้องกันในการผลักดันราคาส่งออกให้เป็นราคาที่เหมาะสม ไม่ให้ต่ำจนเกินไป และไม่เป็นราคาที่ทำให้ผู้ใดผู้หนึ่งต้องแบกรับภาระขาดทุน ในระยะกลางจะให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)  หรือธนาคารของรัฐได้เข้ามาช่วยดูเรื่องการให้สินเชื่อให้มากขึ้น ในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน
 
ในเรื่องของการใช้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเข้ามาเป็นเครื่องมือในการพยุงราคาส่งออก ขณะที่กรมส่งเสริมการส่งออก กรมการค้าต่างประเทศจะดูแลในการสร้างตลาดใหม่ๆ ให้กับข้าวไทยนอกเหนือจากตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เช่นจะไปบุกตลาดแอฟริกาให้มากขึ้น
 
นายยรรยง  พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า  ที่ประชุมยังเห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เพราะเมื่อเทียบกับโครงการประกันรายได้ ทำให้ราคาข้าวส่งออกของไทยดีขึ้น  เช่นเทียบราคาสูงสุดกับราคาต่ำสุด(ราคาเอฟโอบี)ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 โครงการรับจำนำสูงสุดที่เคยได้อยู่ที่ 1,208 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ช่วงโครงการประกันรายได้อยู่ที่ 1,143 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ห่างกันอยู่ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาต่ำสุดของข้าวส่งออกชนิดเดียวกัน ช่วงต่ำสุดของโครงการรับจำนำอยู่ที่ 1,043 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน  ของโครงการประกันรายได้อยู่ที่  951 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ส่วนข้าวขาว 100% ชั้น 2 ราคาสูงสุดของโครงการรับจำนำอยู่ที่ 663 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน โครงการประกันรายได้อยู่ที่ 638 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ช่วงราคาต่ำสุดของตามโครงการรับจำนำอยู่ที่ 546 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน โครงการประกันรายได้อยู่ที่ 458 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน
 
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นพ้องที่ผู้ส่งออกจะรวมตัวกันในตลาดประมูลข้าวในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่จะเน้นราคาต่ำ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตัดราคากันเอง ส่วนการระบายของรัฐบาลในช่วงจากนี้จะเป็นในลักษณะไม่เปิดเผยในรายละเอียดที่ชัดเจน เพราะจะทำให้คู่ค้ากดราคาเพราะทราบข้อมูล แต่รัฐบาลจะพยายามระบายในราคาที่รับจำนำมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจากงบดำเนินการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท เวลานี้ได้ใช้ไปแล้วประมาณ 1 แสนล้านบาท ยังเหลืออีกกว่า 3 แสนล้านบาท สามารถรับจำนำได้ไม่อั้น
 
นายสุเมธ  เหล่าโมราพร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลมีส่วนช่วยให้ราคาข้าวส่งออกของคู่แข่งขันทั้ง อินเดีย เวียดนาม ปากีสถานไม่ถูกคู่ค้ากดราคา  เพราะหากไทยขายราคาต่ำลง คู่ค้าก็จะนำราคาของไทยไปบีบให้ผู้ส่งออกประเทศอื่นต้องลดราคาข้าวลงไปอีก
 
อนึ่ง บริษัทส่งออกข้าวที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ประกอบด้วย บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด (บจก.) บจก.นครหลวงค้าข้าว บจก.เอเซียโกลเด้นไรซ์ บจก.ไชยพรไรซ์ แอนด์ ฟู้ด โปรดักส์ บจก.ไทยฟ้า (2511) และบริษัทเจียเม้งฯ

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ