ุ
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการนำข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ทั้งข้าวหอมมะลิ และข้าวขาว มาเปิดประมูลในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) ซึ่งคงไม่สามารถเปิดประมูลได้ตามกำหนดเดิมวันที่ 15 ส.ค.นี้ เพราะติดปัญหาที่ผู้ขายสินค้า หมายถึงองค์การคลังสินค้า (อคส.) เพราะเป็นผู้ดูแลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล จะต้องหาเงินมาวางเป็นค่ามัดจำให้กับเอเฟตก่อนดำเนินการซื้อขาย ในเบื้องต้น กระทรวงพาณิชย์กำหนดจะเปิดประมูลในเอเฟต 500,000 ตันจนถึงสิ้นปีนี้ จึงต้องหาเงินมาวางมัดจำสูงถึง 250 ล้านบาท

"ตอนนี้ ยังไม่รู้จะเอาเงินจากที่ไหนมาวางค้ำประกันได้บ้าง จะเอาเงินของอคส.ก็ไม่น่าจะได้ ถ้าขาดทุนมากๆ จะไม่ยุติธรรมกับอคส. จึงต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลางก่อน แต่ล็อตแรกคาดจะเปิดประมูลลองตลาดก่อนสัก 100,000 ตัน คิดเป็นเงินที่จะต้องวางมัดจำราว 80 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ต้องแบ่งเป็นค่าคอมมิชชั่น และค่าภาษีให้เอเฟตด้วย น่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้"นายนิวัฒน์ธำรงกล่าว

อย่างไรก็ตาม การเปิดประมูลในเอเฟต อาจทำให้รัฐได้กำไร หรือขาดทุนก็ได้ ขึ้นอยู่กับราคาที่ซื้อขายกันในอนาคต หากราคาขึ้น ก็ได้กำไร แต่ถ้าลดลงก็อาจขาดทุนได้ แต่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล นอกจากนี้ ในกลางสัปดาห์หน้า กรมการค้าต่างประเทศ น่าจะออกประกาศเงื่อนไข หลักเกณฑ์ (ทีโออาร์) การประมูลข้าวสารของรัฐบาล คาดจะเปิดประมูลราว 200,000 ตัน ทั้งข้าวหอมจังหวัด ข้าวเหนียว และข้าวขาว

ส่วนการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) นั้น ราวสัปดาห์หน้า กรมการค้าต่างประเทศ จะเดินทางไปเจรจากับประเทศอิรัก ที่ขณะนี้จะกลับมานำเข้าข้าวอีกครั้ง หลังจากหยุดนำเข้าไป 3 ปี คาดว่าน่าจะมีความต้องการประมาณ 300,000-1 ล้านตัน โดยไทยจะเสนอขายทั้งข้าวหอมมะลิ และข้าวขาว ขณะที่การเปิดประมูลข้าวเปลือกนั้น ในอีก 1-2 สัปดาห์นี้น่าจะเปิดประมูลล็อตใหม่ได้ ทั้งนี้ จากการเปิดระบายข้าวรัฐบาล 2 ครั้งที่ผ่านมา ตนได้อนุมัติขายให้ผู้เสนอซื้อไปแล้วรวม 220,000 ตัน เป็นข้าวขาว 100,000 ตัน และข้าวเปลือกเพื่อทำข้าวนึ่งอีก 120,000 ตัน

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปีปี 56/57 ว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้กำหนดราคารับจำนำที่แน่นอน อยู่ระหว่างการหารือกับกลุ่มเกษตรกร แต่ที่เห็นตรงกันคือ จะพยายามกำหนดราคา และเงื่อนไขต่างๆ ให้อยู่ในกรอบวงเงินไม่เกินฤดูกาลละ 300,000 บาท และขาดทุนได้ 80,000-100,000 ล้านบาท เพื่อไม่ให้ขัดวินัยการคลัง และให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์น่าจะได้ข้อสรุป และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาได้

ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์