ุ
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวาการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังคณะอนุกรรมการะบายข้าวได้อนุมัติเปิดประมูลข้าวเป็นการทั่วไปโดยในวันนี้(15 ก.ค.56) กรมการค้าต่างประเทศ (คต.)ได้ประกาศเปิดประมูลล็อตแรกแล้วแบ่งเป็นข้าวขาว5%ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต2554/55 ในปริมาณ 1.5 แสนตันเพื่อการส่งออกโดยจะประมูลแบบยกคลังซึ่งผู้ประกวดราคาต้องคุณสมบัติดังนั้นต้องเป็นนิติบุคลลที่มีประวัติการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวกับคต.มาแล้วไม่น้อยกว่า1ปีและสำหรับกรณีที่เคยมีประวัติการขึ้นทะเบียนแล้วแต่มาขึ้นทะเบียนใหม่กับคต.ต่างประเทศในปี2550ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวไม่น้อยกว่า3เดือนนับจนถึงวันที่มีการยืนซองเสนอราคา
ทั้งนี้จะต้องไม่เป็นผู้ที่มีประวัติละทิ้งการเสนอราคาซื้อและทิ้งสัญญาซื้อ-ขายข้าวสารกับทางราชการรวมทั้งไม่เป็นผู้ทิ้งงาน โดยหากมีการตรวจสอบพบว่าผู้เสนอราคารายใดขาดคุณสมบัติให้ถือว่าการเสนอราคาของรายนั้นเป็นโมฆะทันที
สำหรับหลักฐานการเสนอผู้ซื้อต้องเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลต่ออธิบดีคต.ซึ่งเป็นประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวโดยต้องระบุชนิดและปริมาณข้าวและคลังสินค้าที่เสนอราคาซื้อพร้อมกับแนบเอกสาร เช่น สำเนาหลักฐานหนังสืออนุญาตให้ประกอบการค้าข้าว สำเนาหนังสือรับรองการจดนิติบุคคลซึ่งในการเสนอราคาซื้อให้เสนอราคาซื้อ ณ หน้าคลังสินค้าที่ซื้อ(Ex-warehouse) เป็นเงินบาทและผู้ซื้อจะต้องมีหลักประกันเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารหรือตั๋วแลกเงินหรือเช็คธนาคารเป็นต้น
ส่วนการประมูลปลายข้าวขาวเอวันเลิศตามโครงการับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 2554/55 แบบยกคลัง เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและการส่งออกในปริมาณ 2 แสนตันโดยผู้เสนอราคาจะต้องมีคุณสมบัติดังนั้นเป็นบุคลลธรรมดาที่ประกอบพาณิชย์กิจตามพระราชบัญญัติพาณิชย์พ.ศ.2499 หรือนิติบุคลลที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าข้าวการผลิตแป้ง การผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว การผลิตอาหารเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงปศุสัตว์หรือกิจการอื่นๆที่ใช้ปลายข้าวเป็นวัตถุดิบรวมทั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์รายย่อยสถาบันการเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรและต้องไม่เป็นผู้ที่มีประวัติทิ้งการเสนอราคาซื้อและทิ้งสัญญาซื้อ-ขายกับราชการ
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์จะเปิดให้ยื่นซองในวันศุกร์ที่26 กรกฏาคม นี้หลังจากนั้นจะเปิดซองในวันที่29กรกฏาคมโดยมีคณะทำงานพิจารณาผู้ที่เข้าหลักเกณฑ์ก่อนเจรจาเรื่องราคาให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียวทั้งนี้พยายามจะให้ได้ราคาดีที่สุดซึ่งขณะนี้ผู้ค้าต่างชาติยังมั่นใจในคุณภาพข้าวไทย
สำหรับการส่งมอบข้าวหลังจากได้ผู้ชนะการประมูลแล้วนั้นผู้ที่ชนะการประมูลจะต้องทำการขนย้ายข้าวสารภายใน3วันทำการนับตั้งแต่วันที่ได้ชำระเงินในแต่ละคราวโดยผู้ซื้อต้องรับมองและขนย้ายให้เสร็จภายในช่วงเวลาที่กำหนด เช่นหากปริมาณข้าวสารไม่เกิน2หมื่นตันจะต้องส่งมอบและขนย้ายภายใน30วันนับตั้งแต่วันทำสัญญาหรือปริมาณข้าวสารส่วนเกิน2หมื่นตันแต่ไม่เกิน5หมื่นตันจะต้องรับมอบและขนย้ายให้เสร็จภายใน60วันนับตั้งแต่วันทำสัญญาเป็นต้น แต่หากผู้ซื้อไม่สามารถรับมอบและขนย้ายภายในช่วงเวลาที่กำหนดผู้ซื้อจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาตามปริมาณคงเหลือที่ไม่สามารถรับมอบและขนย้ายได้ แต่หากยังไม่สามารถรับมอบและขนย้ายได้ในระยะเวลาสูงสุดที่กำหนดจะต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันในอัตรา0.2%ของมูลค่าข้าวสารที่ยังไม่ดำเนินการ
สำหรับการส่งออกผู้ซื้อจะต้องส่งออกข้าวสารทั้งหมดไปต่างประเทศภายใน45วันนับตั้งแต่วันรับมอบข้าวสารแต่หากไม่สามารถส่งออกได้จะต้องเสียค่าปรับ25%ของมูลค่าข้าวสารที่รับมอบและไม่ได้ส่งออก
ส่วนการประมูลข้าวเปลือกเพื่อนำไปทำเป็นข้าวนึ่งนั้น ยังอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดการประกาศเปิดประมูลข้าวเพิ่มเติมในอีก1-2 วันนี้ จำนวน 2 แสนตันเพื่อทำเป็นข้าวนึ่งขายยังต่างประเทศ
“รัฐบาลต้องการขายข้าวให้มากที่สุดแต่ต้องเป็นราคาที่เหมาะสมหากราคาต่ำเกินไปก็ไม่ขายทั้งนี้ซึ่งในกรณีหากมีรายได้เสนอซื้อแบบเหมาเป็นจำนวนมากก็สามารถทำได้หากให้ราคาดีสูงสุดแต่หากส่งออกไม่ได้ก็ต้องถูกปรับ เพราะ ถือว่า ได้เปิดประมูลเป็นการทั่วไป”นายนิวัฒน์ธำรงกล่าว
ส่วนแผนฟื้นฟูความเชื่อมั่นคุณภาพข้าวไทยนั้นรัฐมนตรีว่ากรระรทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าข้าวไทยได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าในต่างประเทศอยู่เลยและข้าวไทยยังขายได้ในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งถึงตันละ100 -150 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน
ด้านนางปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับการให้เวลา 10วันก่อนยื่นซองประมูลเพื่อให้ผู้ต้องการประมูลสามารถเข้าไปตรวจสอบคุณภาพข้าวในโกดังก่อนได้เนื่องจากการประมูลขายข้าวครั้งนี้เป็นการขายข้าวยกโกดัง และต้องมารับมอบข้าว ภายใน30 วันหลังเซ็นสัญญาหากไม่มารับมอบจะต้องเสียค่าปรับ 0.2 %ของมูลค่าข้าวสารที่ยังไม่ได้ขนย้ายออกไปสำหรับราคาข้าวขาว 5 % FOBขณะนี้ ราคาอยู่ที่ 480ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน
ทั้งนี้ มีการรายงานปริมาณข้าวสารที่เป็นข้าวขาว5%คงเหลือในโกดังกลาง อยู่ 4จังหวัด ประกอบด้วยจ.อุทัยธานี จำนวน 18,397ตัน, จ.พิษณุโลก จำนวน 23,747ตัน, จ.กำแพงเพชร จำนวน 24,513ตัน และจ.เพชรบูรณ์ จำนวน26,448ตัน รวมทั้งหมด 93,106ตันและข้าวที่อยู่ในโกดังขององค์การตลาดเพื่อเกษตร(อ.ต.ก.)อีก 4 จังหวัด ประกอบด้วยจ.พิษณุโลก จำนวน 25,193 ตัน,จ.กำแพงเพชร จำนวน6,380ตัน,จ.เพชรบูรณ์ จำนวน 65,47ตันและจ.พิจิตร จำนวน 21,607ตันรวมทั้งหมด 59,730ตัน
ส่วนปริมาณปลายข้าวขาวเอวันเลิศที่อยู่ในโกดังกลาง มีอยู่9จังหวัด ประกอบด้วยจ.พระนครศรีอยุธยาจำนวน 13562 ตันอยู่ที่บจก.พีพีแอนด์อินสปคเตอร์ หลัง3,จ.ปทุมธานี จำนวน2444 ตันที่บจก.ข้าวอัมรินทร์ ,จ.สระบุรีจำนวน30067ตันที่ บจก.พงษ์ลาภหลังบี1 และบี2 ,จ.สุพรรณบุรีจำนวน 26358ตัน ที่บจก.เอส เอ็มเบญจ หลังที่4 ,จ.กาญจนบุรีจำนวน8987ตันที่คลังการพานิช หลังที่1,จ.อุทัยธานี จำนวน7361 ตันที่หจก.อุทัยธานีทรัพย์รวงทองหลังที่6 , จ.กำแพงเพชร จำนวน33126ตันที่หจก.แสงฟ้าโปรดิวส์หลังที่9, จ.นครสวรรค์ จำนวน9354ตันที่หจก.หนองบัวโรงสีแหลงทอง(2000)และที่1และที่ของนางพรทิพย์ชัยศิริรัตน์ หลังที่1 และ2และจ.นครศรีธรรมราช จำนวน2852ตัน ที่คลัง จริยาเกื้อสกุล หลังที่1รวมทั้งสิ้น134,115ตันและที่คลังของอ.ต.ก.อีก 10จังหวัด รวม66,647ตัน
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
|