ุ
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ไปพิจารณาเปิดประมูลระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลเป็นการทั่วไปครั้งใหม่ ส่วนจะเป็นปริมาณเท่าไร และเป็นข้าวชนิดใดบ้างนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เหมาะสม   สำหรับที่มาของการเตรียมเปิดประมูลระบายข้าวในครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่ามีความต้องการซื้อข้าวเข้ามาจำนวนมาก อาทิ จากสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย  สมาคมโรงสีข้าวไทย เป็นต้น ส่วนเรื่องพื้นที่เก็บข้าวสารหรือโกดังกลางที่โรงสีออกมาระบุมีปัญหาไม่เพียงพอนั้นในข้อเท็จจริงไม่ใช่ปัญหา เพราะยังมีที่ว่างเหลือพอเก็บข้าวสารได้อีกมาก โดยโกดังกลางที่ร่วมโครงการกับองค์การคลังสินค้า(อคส.) มีเกือบ 200 แห่ง  แต่โกดังกลางที่ร่วมกับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) อาจจะมีน้อยไปหน่อย ซึ่งได้หารือกับรัฐมนตรีเกษตรฯ เพื่อให้เร่งอ.ต.ก. ให้เปิดโกดังกลางเพิ่มขึ้นแล้ว

ส่วนความคืบหน้า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2555/56 ล่าสุดมีข้าวเข้าโครงการเพียง 9 ล้านตันข้าวเปลือก ถือมีปริมาณน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 15 ล้านตัน ทำให้ประเมินว่าโครงการนาปีจะมีข้าวเข้าโครงการราว 11-12  ล้านตันข้าว โดยได้ทยอยสั่งสีแปรต่อเนื่อง มีข้าวสารที่รับเข้าโกดังกลาง 3 ล้านกว่าตัน ขณะเดียวกันยังได้สั่งให้ระบายข้าวในส่วนที่มีคำสั่งซื้อแล้วออกไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากเมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา ได้สั่งให้ชะลอการขนย้ายข้าวมาเกือบ1 เดือน  เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงการระบายข้าว 3 ปีย้อนหลัง

นายบุญทรง ยังเผยถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบาย และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ได้พิจารณาเห็นชอบแผนรับซื้อปาล์มและแนวทางการระบาย 5 แนวทาง  ประกอบด้วย 1.การนำมันปาล์มดิบมากลั่นเป็นน้ำมันปาล์มบรรจุขวด จำนวน 1 หมื่นตันต่อเดือนเป็นระยะเวลา 6 เดือน 2.นำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตไบโอดีเซล จำนวน 5 หมื่นตัน 3.นำไปให้โรงไฟฟ้าใช้ในการผลิตไฟฟ้า 1 หมื่นตัน 4.นำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมในประเทศ เช่น ใช้ในภาคเกษตร ภาคการประมง 5.ส่งออก อย่างไรก็ตามการส่งออกคงทำได้ลำบากเนื่องจากขณะนี้เงินบาทแข็งค่า จึงได้เร่งให้ทำการบรรจุขวดเพื่อจำหน่ายในประเทศ และการส่งออกเพื่อนบ้านเนื่องจากยังมีความต้องการอยู่

นอกจากนี้นายบุญทรง กล่าวถึง การเข้าพบของนายมาร์ติน คูบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของสาธารณรัฐเช็ก พร้อมขณะ ที่เข้าเยี่ยมคาราวะว่าได้หารือถึงโอกาสขยายการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งปีที่ผ่านมาไทยและเช็กมีการค้าขายกันเพียง 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยทั้งสองฝ่ายคาดหวังจะเพิ่มการค้าเป็นอีกเท่าตัวให้ได้ในอีก 3-4 ปี  ซึ่งสินค้าไทยที่มีศักยภาพส่งออกไปเช็กได้เพิ่มอยู่ในกลุ่มอาหาร และอาหารทะเลแช่แข็ง และสินค้าแปรรูปทางการเกษตร ขณะที่ผลไม้หลายชนิดจากเช็กมีศักยภาพที่สามารถนำเข้ามาเพิ่มเติมได้

สำหรับในการเดินทางเยือนไทยครั้งนี้ ทางเช็กได้นำคณะนักธุรกิจรายใหญ่ 25 รายเข้ามาด้วย ซึ่งมีทั้งกลุ่มก่อสร้าง และเทคโนโลยีฯ โดยแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้า จากที่ผ่านมาการลงทุนของเช็กในไทยยังมีปริมาณน้อย  นอกจากนี้ยังแสดงความสนใจร่วมลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของไทย ทั้งการบริหารจัดการน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ขณะเดียวกันยังได้เสนอแนวทางความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ซึ่งเช็กมีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกจำนวนมาก ส่วนไทยก็มีเช่นกัน จึงเสนอให้จัดทำแผนแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งทางเช็กเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ