ุ
นายทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในการเยือนประเทศปาปัวนิวกินีรัฐบาลไทยได้มีการหารือถึงความร่วมมือในเรื่องสินค้าเกษตรรวมทั้งเรื่องข้าวโดยในปัจจุบันปาปัวนิวกินีบริโภคข้าวในประเทศปีละ 1.5 แสนตัน และมีการซื้อข้าวจากไทยเฉลี่ยปีละ 5 หมื่นตัน ทั้งนี้รัฐบาลปาปัวนิวกินีได้ขอความร่วมมือจากรัฐบาลไทยในการส่งผู้เชี่ยวชาญไปสอนเกษตรกรในประเทศของตนปลูกข้าว ซึ่งรัฐบาลไทยก็ตอบตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตามในช่วงที่ปาปัวนิวกินียังไม่สามารถปลูกข้าวได้เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศก็จะยังคงนำข้าวจากประเทศไทย
นายทศพร กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลบังกลาเทศ โดยมีการแก้ไขเนื้อหาในบันทึกความเข้าใจ ฯ เรื่องระยะเวลาการมีผลบังคับใช้ของบันทึกความเข้าใจ ฯ จากเดิม 2555 - 2556 เป็นปี 2555 - 2559 ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลบังกลาเทศจะมีการเจรจาตกลงซื้อขายข้าวนึ่งกับรัฐบาลไทยปริมาณไม่เกิน1 ล้านตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2555 -2559 โดยมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตข้าวของแต่ละประเทศ และระดับราคาซื้อขายในตลาดโลก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิได้ทำให้สาระสำคัญในข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจ ฯ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมขอให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่จะดำเนินการได้
นอกจากนี้ขอให้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจ โดยการขยายระยะเวลาในเอ็มโอยูฉบับนี้จะเป็นโอกาสในการที่ไทยจะจำหน่ายข้าวไปยังบังกลาเทศได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ยังเสนอต่อที่ประชุม ครม.ว่าควรใช้โอกาสในความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างไทยและบังกลาเทศ ขยายตลาดข้าวชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะข้าวคุณภาพดีที่มีตลาดในบังกลาเทศ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว 100% เป็นต้น ตลอดจนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและสร้างโอกาสทางตลาดมากขึ้นด้วย
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
|