ุ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่ากรณีที่ไม่มีเอกชนรายเล็กยื่นซองเสนอราคาประมูลข้าวในสตอกรัฐบาลโครงการรับจำนำปีการผลิต 2554/2555 รวมปริมาณกว่า 350,000 ตัน อาจเป็นเพราะไม่มั่นใจคุณภาพข้าวในโกดังกลางของรัฐบาล ประกอบกับ เงื่อนไขเข้มงวด เพราะกำหนดให้ต้องส่งออกข้าวภายใน 45 วัน หากไม่สามารถส่งออกได้ทันตามเวลาจะถูกปรับเป็นเงินร้อยละ 25 ของมูลค่าข้าวที่ยังไม่ได้ส่งออกทำให้มีเพียงเอกชนรายใหญ่ที่เคยซื้อข้าวกับรัฐ สามารถยื่นซองประมูลได้เท่านั้น

ส่วนกรณีที่ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าอาจยกเลิกการประมูลครั้งนี้ หากราคาเสนอซื้อต่ำกว่าเกณฑ์ มองว่ามีความเป็นไปได้ เพราะผู้ประกอบการไม่มั่นใจเรื่องสภาพข้าวและเงื่อนไขที่เข้มงวด จึงอาจหยั่งเชิงซื้อข้าวในราคาต่ำ ซึ่งขณะนี้ตลาดโลกก็จับตามองการระบายข้าวครั้งนี้ว่าจะเป็นอย่างไร หากขายในราคา 12 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อแปลงเป็นราคาส่งออก จะอยู่ที่ 460-470 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งใกล้เคียงกับข้าวอินเดียที่มีราคา 440 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อาจทำให้อินเดียต้องทบทวนราคาข้าวของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การระบายข้าวช่วงนี้ซึ่งตลาดเป็นของผู้ซื้อ จะทำให้ราคาข้าวไม่ปรับขึ้นสูง ขณะที่การปรับลดราคารับจำนำเหลือตันละ 12,000 บาท เพื่อให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก แต่เมื่อแปรสภาพเป็นข้าวส่งออก Free On Board (FOB) ราคาจะอยู่ที่ 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สูงกว่าประเทศคู่แข่งมาก ทำให้เอกชนไม่กล้าแย่งซื้อข้าวเพราะต้นทุนสูง ดังนั้นข้าวก็ยังจะไหลไปยังภาครัฐเช่นเดิมและมีสต็อกมากขึ้น

ส่วนการเปิดให้เอกชนซื้อข้าวเพื่อแปรรูปเป็นข้าวนึ่งเพื่อส่งออก นายชูเกียรติ มองว่าเป็นแนวทางที่ดี เพราะเดิมไทยเคยส่งออกข้าวนึ่งมากถึง 2.5-2.6 ล้านตันต่อปี แต่หลังจากรัฐบาลดำเนินโครงการรับจำนำ โดยให้เอกชนซื้อเพื่อแปรสภาพเป็นข้าวขาวส่งออก ทำให้การส่งออกข้าวนึ่งลดลงต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาส่งออกลดลงเหลือกว่า 1 ล้านตัน ส่วน 5 เดือนแรกปีนี้ ส่งออกได้ 5 แสนตันเท่านั้น เพราะถูกอินเดียแย่งชิงตลาดข้าวนึ่งไปเกือบหมด ทั้งนี้รัฐบาลต้องปรับเงื่อนไขการส่งออกให้มีความยืดหยุ่น และขายข้าวในราคาที่ภาคเอกชนสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนสนใจเข้าร่วมประมูลมากขึ้น

ที่มา สำนักข่าวไทย