ุ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า จากการที่ฝ่ายรัฐบาลออกมาให้ข่าวว่าจะเร่งระบายข้าวสต๊อกรัฐบาลเดือนละ 1 ล้านตัน มองว่าหลังจากนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะจากนี้ไปตลาดเริ่มอิ่มตัวแล้ว ประกอบกับการที่รัฐบาลประกาศออกมาว่าต้องการจะเร่งระบายข้าว ทำให้ผู้ซื้อเริ่มชะลอการซื้อข้าว เพื่อรอดูสถานการณ์ราคาข้าวที่มีแนวโน้มลดลงอีก ทั้งนี้ก็เข้าใจว่าการที่ด้านรัฐบาลให้ข่าวเช่นนั้น เพื่อลดแรงกดดันจากเกษตรกรและเป็นแค่การให้ความหวังเท่านั้น โดยปัจจุบันไทยส่งออกข้าวประมาณเดือนละ 6-6.5 แสนตัน หากจะมีการเร่งผลักดันส่งออกให้มากขึ้นกว่านี้ก็ยังมีข้อจำกัดทั้งตลาดที่เริ่มอิ่มตัว ส่วนการบริโภคภายในประเทศตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 7-8 แสนตัน

“สัญญาณการชะลอซื้อข้าวจากผู้ซื้อก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ขณะเดียวกันการส่งออกของไทยก็มีข้อจำกัด ที่แม้เคยส่งออกได้เดือนละเกือบ 1 ล้านตันแต่ก็เป็นการทำงานอย่างหนักตลอด 24 ชั่วโมงทีเดียว หากจะให้เร่งส่งออกมากกว่านี้ก็คงเหนื่อย และขณะเดียวกัน ในปัจจุบันข้าวในตลาดก็เริ่มหาซื้อได้ดีขึ้นกว่าการเข้าไปซื้อข้าวในสต๊อกรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการก็มีทางเลือกมากขึ้น ทำให้รัฐบาลที่ตั้งเป้าจะระบายมาเดือนละ 1 ล้านตัน จึงเป็นไปได้ยาก หรือเมื่อเปิดประมูลก็อาจจะมีคนเข้าไปซื้อและกดราคาให้ต่ำลง ส่วนที่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลจะสามารถขายข้าวได้ในปริมาณมากเพราะเป็นช่วงต้นฤดู”

อย่างไรก็ตามในช่วงกลางเดือนหน้าผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ของเวียดนามเริ่มออก ซึ่งเป็นฤดูกาลหลักสำหรับการส่งออกที่คาดว่าจะมีข้าวเหลือพอส่งออกได้ 4-5 ล้านตัน เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะมีสงครามราคาเกิดขึ้น แม้ว่าตอนนี้ราคาข้าวเวียดนามจะอยู่ที่ตันละ 415-420 เหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาข้าวไทยซึ่งอยู่ที่ตันละ 370 เหรียญสหรัฐฯ แต่เมื่อผลผลิตเวียดนามออกมาก็จะมีการหั่นราคาเพื่อมาแข่งขันกับไทยแน่นอน

ทั้งนี้ที่ผ่านมาสมาคมฯ ประมาณการส่งออกที่เดือนละกว่า 6 แสนตัน หรือไตรมาสละประมาณ 2 ล้านตัน แต่ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่ผู้ซื้อเริ่มชะลอการซื้อข้าวจากไทย และที่คาดว่าจะมีการแข่งขันรุนแรงจากเวียดนาม อาจต้องปรับลดประมาณการในช่วงไตรมาส 2 ลง โดยขณะนี้ทุกฝ่ายต่างจับตามองดูประเทศไทยอยู่ และถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวในปีนี้ให้พังลงได้ ขณะที่ราคาข้าวเปลือกในประเทศมีแนวโน้มลดลง สาเหตุส่งหนึ่งก็มาจากการเร่งระบายข้าวของรัฐบาลด้วย ทำให้ราคาข้าวเปลือกในขณะนี้ลดลงเหลือตันละ 7,000-7,500 บาท และยังมีแนวโน้มลดลงอีก

สำหรับกรณีที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีแนวทางออกกองทุนเพื่อระดมทุน และนำเงินมาจ่ายค่าข้าวให้แก่ชาวนานั้น มองว่าการทำกองทุนที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยนั้นสามารถทำได้ แต่หากดูในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนที่ไม่ได้ดอกเบี้ยก็น่าจะนำเงินไปฝากธนาคารพาณิชย์ดีกว่า ตนจึงเห็นว่ายังไม่ใช่คำตอบหลักในการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่จะเร่งหาเงินมาใช้หนี้เกษตรกรซึ่งปัจจุบันก็ยังค้างจ่ายอยู่มากกว่าแสนล้านบาท

“ทางออกที่เร็วที่สุดก็คือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจมากู้เงิน และชำระเงินให้แก่เกษตรกรได้ทันที แต่หากสถานการณ์ยังคงเป็นไปในลักษณะนี้โดยพึ่งการขายข้าวที่หากขายได้เดือนละ 1 ล้านตันจริงๆ เงินที่จะได้รับก็ประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อเดือน นั่นหมายถึงว่ากว่าจะใช้หนี้ให้ชาวนาได้ครบ 1 ปีก็ยังไม่พอ”นายชูเกียรติ กล่าว

ที่มา หนังสือพิมพ์แนวหน้า