ุ
นายชูเกียรติ  โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ถึงการส่งออกข้าวของไทยในช่วง 8 เดือนแรก(ม.ค.-ส.ค.) ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของกรมศุลกากรส่งออกแล้ว 6.59 ล้านตัน มูลค่า 1.05 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 59.4 และ 22.4% ตามลำดับ ขณะตัวเลขที่ยึดตามข้อมูลการขอใบอนุญาตส่งออกของเอกชนที่ยื่นต่อกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในช่วง 9 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ย.) มีปริมาณ 8.2 ล้านตัน ขณะภาพรวมการส่งออกข้าวของไทยในเดือนกันยายนที่กรมศุลกากรยังไม่สรุปคาดจะส่งออกได้ระดับ 9 แสนตัน และในช่วง 3 เดือนสุดท้าย (ต.ค.-ธ.ค.)คาดจะส่งออกได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 9 แสนตัน ซึ่งจากในช่วง 9 เดือนที่ส่งออกแล้ว(ตามข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ) 8.2 ล้านตัน บวกอีก 2.7 ล้านตัน(ส่งออกรวมช่วง 3 เดือนสุดท้าย)จะส่งออกได้รวมเกือบ 11 ล้านตัน มากสุดเป็นประวัติการณ์ (ไทยเคยส่งออกสูงสุดในปี 2554 ที่ปริมาณ 10.6 ล้านตัน)

"การส่งออกที่ขยายตัวมากในช่วงนี้มาจากราคาข้าวไทยมีราคาใกล้เคียงกับคู่แข่งขัน จากอดีตราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งมาก (ผลจากโครงการรับจำนำข้าวราคาสูง) โดยราคาข้าวขาว 5% ของไทยขณะนี้เฉลี่ยที่ 430 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ข้าวประเภทเดียวกันจากเวียดนามเฉลี่ยที่ 440 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวอินเดียเฉลี่ย 430 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จากชื่อเสียงคุณภาพข้าวไทยดีกว่าลูกค้าได้หันมาซื้อข้าวไทยจำนวนมาก"

ขณะเดียวกันเป็นผลพวงจากความร่วมมือในการเจรจาและส่งออกข้าวระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยล่าสุดกรมการค้าต่างประเทศได้เจรจาขายข้าวให้ต่างประเทศแล้วเกือบ 7 แสนตัน แยกเป็นขายให้กับฟิลิปปินส์ 3 แสนตัน อินโดนีเซีย 1.75 แสนตัน และขายให้เพิ่มเติมให้กับคอฟโก้คอร์ปอเรชั่นของรัฐบาลจีนอีก 2 แสนตัน(คอฟโก้มีสัญญาซื้อข้าวจีทูจีกับรัฐบาลไทย 1 ล้านตันใน 1 ปี ส่งมอบไปแล้ว 1 แสนตัน) ซึ่งจากที่ทั้ง 3 ประเทศมีความต้องการข้าวใหม่จากไทย แต่ภาครัฐมีแต่ข้าวเก่าในสต๊อก จึงได้มอบหมายให้ทางสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยมาจัดสรรโควตาให้กับสมาชิกเพื่อหาข้าวใหม่ในตลาดส่งมอบแทนภาครัฐ ซึ่งได้นำมาจัดสรรให้สมาชิกกว่า 190 รายตามสัดส่วนประวัติการณ์การส่งออก หากรายใดได้รับการจัดสรรน้อยเห็นว่าไม่คุ้มค่า เช่นได้หลัก 100 ตันก็สามารถโอนสิทธิ์ให้รายอื่นส่งมอบแทนได้

อย่างไรก็ดีไทยในช่วงจากนี้ไทยยังมีโอกาสส่งออกเพิ่มจากที่ฟิลิปปินส์เตรียมเปิดประมูลซื้อข้าวอีกประมาณ 5 แสนตัน อินโดนีเซียคาดจะซื้อเพิ่มอีกหลายแสนตัน ส่วนตลาดแอฟริกา แม้จะมีปัญหาเชื้อไวรัสอีโบลาระบาด แต่ลูกค้าก็ยังสั่งซื้อเข้ามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะข้าวนึ่งที่สั่งซื้อกว่า 4 แสนตันต่อเดือน จากราคาข้าวนึ่งไทยใกล้เคียงกับราคาข้าวนึ่งของอินเดียเฉลี่ยที่ 440 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน แต่ลูกค้าเชื่อมั่นคุณภาพข้าวไทยมากกว่า

ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผย หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.)มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน นบข.เป็นประธาน(6 ต.ค.57)ว่าที่สำคัญ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี 2557/58 (เริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่ พ.ย.57) ที่คาดจะมีผลผลิตออกมาประมาณ 27 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวหอมมะลิประมาณ 8 ล้านตันและข้าวเหนียว 7 ล้านตัน ที่เหลือเป็นข้าวขาวคุณภาพดีประมาณ 5 ล้านตัน และข้าวขาวคุณภาพต่ำ 6-7 ล้านตัน โดยในส่วนของข้าวหอมมะลิ ข้าวนึ่งและข้าวเหนียวจะดูแลให้เกษตรกรชะลอการขายโดยการให้เก็บข้าวในยุ้งฉางซึ่งเกษตรกรสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ไม่เกิน 80 % ของมูลค่าข้าว และทยอยขายหากได้ราคาที่ดี และนำเงินมาคืน ส่วนข้าวชนิดอื่นกระทรวงพาณิชย์จะชดเชยดอกเบี้ย (3%)ให้กับโรงสีที่เข้าร่วมโครงการซื้อข้าวเปลือกเข้าเก็บสต๊อกในราคาชี้นำตลาด 100-200 บาทต่อตัน(กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลมีโรงสีเข้าร่วมโครงการแล้ว 256 ราย เป้าหมายซื้อเก็บสต๊อก 6 ล้านตัน วงเงินชดเชยรวม 918 ล้านบาท)

ขณะที่นายชวลิต  ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยถึงกรณีที่รัฐบาลจะจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1 พันบาท ไม่เกินรายละ 15 ไร่ เริ่มวันที่ 20 ตุลาคมนี้ แต่มีกระแสเกรงจะเกิดการทุจริตเงินไม่ถึงมือชาวนาตัวจริง อาทิ อาจจะมีเจ้าของที่นามาขอส่วนแบ่งจากผู้เช่า หรือเจ้าของนามีการแตกครัวเรือนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือ เรื่องนี้กรมส่งเสริมการเกษตรผู้รับขึ้นทะเบียนชาวนาแจ้งว่าปัจจุบันมีชาวนามาขึ้นทะเบียนแล้ว 2.8 ล้านครัวเรือน จากปีก่อนขึ้นทะเบียน 3.4 ล้านครัวเรือน อีก 6 แสนครัวเรือนที่ตกค้างคาดจะทยอยมาขึ้นทะเบียนให้แล้วเสร็จก่อนวันจ่ายเงิน ซึ่งทางกรมมีบัญชีเก่าเทียบเคียงอยู่แล้วว่าที่นาดังกล่าวมีชื่อเจ้าของนาทำเอง หรือให้ใครเช่า และจะมีการตรวจสอบรับรองการทำนาจริงในปีการผลิต 2557/58 อีกครั้งเพื่อป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น และยืนยันจะไม่ให้มีการขยายครัวเรือนเพื่อรับประโยชน์แน่นอน

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ