www.thairiceexporters.or.th  
home about us members contact us FAQ link site map English Thai

นายกส่งออกข้าวคนใหม่ ร้องรัฐเลิกจำนำ


สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของอุตสาหกรรมข้าวไทยได้ "เจริญ  เหล่าธรรมทัศน์"ประธานกรรมการบริษัท อุทัยโปรดิวส์ จำกัด เป็นนายกสมาคมคนใหม่ในลำดับที่ 23 รับไม้ต่อจาก "กอบสุข เอี่ยมสุรีย์"ที่หมดวาระ “ฐานเศรษฐกิจ" เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ในหลากหลายมุมมองทั้งทิศทางการส่งออกข้าวไทยในปี 2557 โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ปัญหาอุปสรรคของอุตสาหกรรม ตลอดจนมุมมองที่สร้างสรรค์เพื่อให้อุตสาหกรรมข้าวไทยยังเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

+++ยอมรับหนักใจ

ตำแหน่งนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ที่ได้นั้น เป็นเพราะมีอาวุโสสูงสุด เคยดำรงตำแหน่งต่างๆ ในสมาคมมาแล้วหลายตำแหน่งในระยะเวลาเป็น10 ปี และตำแหน่งสุดท้ายเป็นอุปนายกสมาคม ซึ่งการรับตำแหน่งครั้งนี้ยอมรับว่าหนักใจ เพราะตลาดส่งออกในขณะนี้ไม่ใช่ตลาดในภาวะปกติ แต่เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีสินค้าอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก (คาดว่ามี18-20 ล้านตันข้าวสาร) และต้องหาทางระบายออก ซึ่งหากรัฐบาลยังมีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกราคาสูงต่อเนื่องจะเป็นปัญหาต่อการระบายข้าวไม่สิ้นสุด

"ถามว่าพร้อมหรือไม่ ก็ต้องพร้อม เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ ก็อยากจะสานต่อให้งานสมาคมเดินหน้าต่อไป และจะพยายามทำให้ดีที่สุด"

+++เป้าปีนี้ส่งออก 7.5 ล้านตัน

สำหรับการส่งออกข้าวของไทยในปี 2556 ที่ผ่านมา คาดจะอยู่ในระดับ 6.5 ล้านตัน (ม.ค.-พ.ย.56 ส่งออกแล้ว 5.9 ล้านตัน มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ปริมาณลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.4% และมูลค่าลดลง 8.8%) สำหรับในปี 2557 นี้คาดจะส่งออกได้ประมาณ 7.5 ล้านตัน เพราะผลจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้ระบายข้าวออกมาในทุกช่องทางก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ราคาข้าวไทยในตลาดโลกมีราคาลดต่ำลง และต่ำกว่าข้าวของเวียดนามเป็นครั้งแรก

ทั้งนี้ในส่วนของการส่งออกข้าวหอมมะลิ(ปกติส่งออกประมาณ 2 ล้านตันต่อปี) ตลาดในปี 2557 ยังค่อนข้างมั่นคง หากราคาไม่สูงมากก็จะแข่งกับข้าวหอมของเวียดนาม หรือกัมพูชาได้ แต่ถ้าสูงมากก็จะเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าไปแทนที่ตลาด ราคาข้าวหอมมะลิปีนี้เทียบกับปีที่แล้วถูกลง เพราะช่วงนี้เงินบาทเรา 32 บาท ปีที่แล้วช่วงเดียวกันเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะฉะนั้นอัตราแลกเปลี่ยนสำคัญมาก ถ้าค่าบาทอ่อนเป็น 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯก็จะทำให้ราคาข้าวไทยแข่งขันได้ดีขึ้น

ส่วนข้าวขาว ตลาดหลักที่ซื้อจากไทยมากคืออิรัก ปีหนึ่งประมาณ 7-8 แสนตัน แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ คุณภาพข้าวที่ผู้ประกอบการบางรายส่งไปมีปัญหา ฉะนั้นอิรักในการประมูล 2-3 ครั้งหลังอิรักไม่ให้ผู้ส่งออกไทยเสนอราคา เขาซื้อจากประเทศอื่น โดยล็อตสุดท้ายซื้อจากอุรุกวัย และมีซื้อจากอเมริกาบ้าง ส่วนตลาดอินโดนีเซียอีกหนึ่งตลาดใหญ่ตั้งแต่ปีที่แล้วถึง ณ วันนี้ก็ยังไม่ซื้อข้าวไทย หลังบริษัทหนึ่งส่งข้าวด้อยคุณภาพไปให้ และถูกตีกลับ ส่วนข้าวนึ่งแนวโน้มปีนี้น่าจะดี ถ้าระดับราคาอยู่ 450 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งอินเดียอยู่ที่ 415 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ยังสู้ได้ เพราะข้าวนึ่งไทยเน้นเรื่องคุณภาพ

+++เรียกร้องเลิกจำนำ

ส่วนโครงการรับจำนำข้าวที่ขณะนี้ประสบปัญหาสภาพคล่องไม่มีเงินจ่ายเงินให้ชาวนา เป็นเหตุให้มีการลุกฮือประท้วงในหลายจังหวัด  หากรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการต่อไป จะต้องปรับปรุงแก้ไขในหลายๆ ด้าน ทั้งราคารับจำนำ การตรวจสอบข้าวตั้งแต่ข้าวที่เข้าคลัง การเก็บรักษา จนถึงการระบายข้าวที่ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส และคุณภาพจะต้องควบคุมได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องเสียเบี้ยบ้ายรายทางทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น

"แต่อย่างที่ผมบอกหยุดเลยจะดีกว่า เพราะการจำนำเป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่มาก ข้าวเยอะเหลือเกินต่อให้คุณสุจริตตั้งใจ ก็ควบคุมยาก เพราะข้าวเป็นสิบล้านตันมันมหึมา คิดไม่ออกว่าบริหารจัดการอย่างไร มันเสื่อมคุณภาพเร็ว 5-6 เดือนมันก็เริ่มเสื่อมคุณภาพแล้ว และเครื่องมือที่เราเก็บข้าวก็ไม่ใช่เป็นแบบห้องเย็น 5-6 เดือนก็เสีย โดยเฉลี่ยข้าวหอมมะลิคุณเก็บ 5-6 เดือนก็หมดความหอม หมดความพิเศษ คุณค่ามันก็หายไปหมด"

+++ช่วยปัจจัยผลิต-ประกันรายได้

ทั้งนี้หลังเลิกจำนำแล้วควรไปช่วยด้านปัจจัยการผลิตแทน ส่วนด้านราคาก็ควรจะตั้งราคาตลาดต่ำสุดเท่าไหร่ที่รัฐบาลควรเข้าไปแทรกแซงเพื่อดึงราคาให้สูงขึ้น แต่การแทรกแซงต้องมีการบริหารจัดการ เข้ามาแล้วต้องระบายได้ จะระบายอย่างไรต้องแอกทีฟในแต่ละช่องทาง

สำหรับระดับราคาข้าวเปลือก(ข้าวเปลือกเจ้าทั่วไป)ต่ำสุด(ราคาตลาด) ที่รัฐบาลควรเข้าไปแทรกแซงยังไม่ทราบว่าจะเป็นเท่าใด แต่หากรัฐบาลสามารถทำให้ชาวนาได้รับราคาระดับ  1.1-1.2 หมื่นบาทต่อตันความชื้นไม่เกิน 15% มองว่าชาวนาน่าจะพอใจแล้ว จากนั้นก็ไปช่วยเรื่องค่าปัจจัยการผลิตเหมือนกับชาวสวนยาง มีประกันภัยแล้ง หรือน้ำท่วม ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิควรอยู่ที่ 1.5-1.6 หมื่นบาทต่อตัน ซึ่งเมื่อแปลงเป็นราคาข้าวสารขายตันหนึ่งไม่เกิน 1 พันดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ข้าวหอมของเวียดนามปัจจุบันขายเฉลี่ยที่ตันละ 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวหอมกัมพูชาขายอยู่ประมาณตันละ 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากไทยขายอยู่ที่ตันละ 1-1.1 พันดอลลาร์สหรัฐฯก็ยังแข่งขันได้ เพราะคุณภาพเราดีกว่า

+++แนะระบายเฉพาะข้าวใหม่

ขณะที่ข้าวเก่าในสต๊อกรัฐบาล ควรเก็บไว้ก่อนอย่าเพิ่งระบายออกมาเพราะยิ่งระบาย ราคาข้าวไทยยิ่งตก ควรจัดการเรื่องข้าวใหม่ที่เข้ามาก่อนที่ต้องเร่งระบายให้เร็ว และออกไปให้เยอะที่สุด ส่วนข้าวเก่าต้องไปพิจารณาว่าเราจะจัดการอย่างไร เช่นขายเฉพาะในประเทศเพราะคนไทยนิยมกินข้าวเก่า แต่ปัญหาก็คือผลผลิตข้าวปีต่อปีของไทยก็ยังส่งออกไม่หมด ส่วนราคารับจำนำข้าวที่สูงก็เป็นแรงจูงใจให้ชาวนาปลูกข้าว ซึ่งเป็นโจทย์ของรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรให้เขาหยุดรอบที่เขาปลูกเพื่อให้ข้าวที่อยู่ในคลังมีโอกาสคลายออกมาบ้าง

"ถ้าเป็นผม ข้าวเก่าผมไม่ขาย ผมหยุด ผมจะจัดการข้าวใหม่ก่อน ข้าวใหม่ออกมาต้องเร่งส่งออกให้หมด และนาปรังก็หยุดอย่าไปสนับสนุนเขาปลูก เพราะบางพื้นที่น้ำแล้ง เพื่อให้ข้าวในสต๊อกน้อยลง ไม่เช่นนั้นไม่มีทางจัดการได้  แต่ทางที่ดีที่สุดรัฐไม่ควรมาขายข้าวแข่งกับเอกชน เอาเป็นว่ารัฐบาลพยายามช่วยเหลือชาวนาด้านปัจจัยการผลิต และลดต้นทุน  ส่วนการซื้อ-ขายควรให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ เพราะที่ผ่านมา  2 ปีก็พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลทำไม่ได้ดีเท่าเรา ข้ออ้างต่างๆ ที่ผ่านมาบอกว่าผู้ส่งออกเป็นคนกำหนดราคา ผู้ส่งออกเป็นคนทำโน่นทำนี่ราคามันถึงไม่ขึ้น ทำให้ชาวนาเดือดร้อน แต่ 2  ปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันไม่จริง แม้กระทั่งรัฐบาลเป็นผู้กำหนดราคาตลาดคนเดียวเลยก็ไม่ได้ทำให้ราคาข้าวดีขึ้น มันตกจากที่เคยดีๆกว่า 600 ดอลลาร์มาเหลือกว่า 400 ดอลลาร์ แล้วปัญหานี้ต้องแก้อีกหลายปี ไม่รู้จะจบหรือเปล่า"

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ

 

เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ แนะรัฐหยุดจำนำข้าว หยุดแทรกแซงพ่อค้า


ปี ม.ม้าคะนอง ต้องลุ้นระทึกอีกปีว่าไทยจะทวงคืนแชมป์ส่งออกข้าวโลกกลับมาได้หรือไม่ หลังจากต้องตกอันดับมาต่อเนื่อง 2 ปี นับจากปี 2555 ปริมาณ 6.9 ล้านตัน และล่าสุด 2556 ที่น่าจะปิดบัญชีประมาณ 6.5-6.6 ล้านตัน โดยตัวเลขส่งออกข้าว 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) 2556 ได้ปริมาณ 5.9 ล้านตัน คาดว่าในเดือนธันวาคมจะส่งออกได้เพิ่มอีก 6 แสนตันเท่านั้น

ในด้าน มูลค่ารวมคงได้ 1.2 แสนล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน เท่ากับว่ารายได้จากการส่งออกหายไป 20,000 ล้านบาท คำถามคือแล้วปี 2557 นี้ อุตสาหกรรมข้าวไทยจะไปในทิศทางใด "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "เจริญ เหล่าธรรมทัศน์" อุปนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ว่าที่นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คนที่ 23 แทนนางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ บิ๊กบอสค่ายกมลกิจ ที่ครบวาระ 4 ปี ในเดือนมกราคมนี้ ถึงภารกิจกุมบังเหียนสมาคมที่มีอายุเก่าแก่ถึง 95 ปี

- ท่าทีโครงการรับจำนำข้าว

หนัก ใจ เพราะตลาดไม่ใช่ภาวะปกติ มีสินค้าในสต๊อกค่อนข้างเยอะ ต้องหาทางระบายออก แต่ผมเชื่อว่าการจำนำข้าวไม่ว่าจะมีรัฐบาลไหนมาทำ คงต้องมีการปรับเปลี่ยนอีกมาก ทั้งราคา การประมูล และการระบาย ทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะต้องมีภาระสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ และผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงชาวนาทั้งหมด เราก็พูดมาเป็นเวลา 2 ปีแล้วว่า นโยบายนี้จะมีปัญหา คนแรกที่กระทบคือ ผู้ส่งออก โรงสี หยง และชาวนา เป็นวัวพันหลัก เมื่อขายไม่ได้ข้าวสารลงก็ไปฉุดข้าวเปลือกลงอีก และเรามีข้าวใหม่ทุกปี ถ้าไม่ส่งออกปีละ 8 ล้านตัน เท่ากับว่าเรามีสต๊อกใหม่เพิ่มอีกปีละ 2-3 ล้านตัน รวมสต๊อกข้าวเก่านับ 20 ล้านตัน

ฉะนั้นต้องเว้นวรรคจำนำก่อน หยุดการจำนำตรงนี้ นาปรังก็ต้องหยุดด้วย เพื่อไม่ให้มีข้าวใหม่เข้าไป จากนั้นจัดการขายข้าวโครงการใหม่ (ปี 2556/2557) ก่อน ขายข้าวสต๊อกเก่า 20 ล้านตันให้ภายในประเทศ เพราะคนไทยกินข้าวเก่า ซึ่งทางเรามีบุคลากร มีฟาซิลิตี้ พร้อมให้ความร่วมมือในทุก ๆ ด้าน

- สมมติเปลี่ยนขั้วแล้วกลับเป็นประกันรายได้

การ ชดเชยให้ชาวนาโดยตรงก็ดีนะ เพราะรัฐบาลสามารถควบคุมงบประมาณได้ รายได้ถึงมือชาวนาได้มากขึ้น รัฐบาลจะใช้ 2-6 แสนล้านบาทก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไปตกที่อื่น แต่จำเป็นต้องมีการกำหนดราคาขั้นต่ำ เช่น ข้าวขาว 5% ความชื้น 15% ราคาตันละ 11,000-12,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 15,000-16,000 บาท ชาวนาน่าจะแฮปปี้ ถ้าต่ำกว่านี้ก็ต้องไปแทรกแซงดึงราคาให้สูงขึ้น หรือช่วยประกันภัย ช่วยปัจจัยการเพาะปลูก บริหารทั้งดีมานด์และซัพพลายตลอดเวลา แต่อย่ามายุ่งกับการซื้อขายของเอกชน เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลมายุ่งราคาตลาดคนเดียวเลย ทำให้ราคาตก ที่เคยขายได้ตันละ 600 เหรียญ เหลือ 400 กว่าเหรียญสหรัฐ ยังต้องแก้อีกหลายปีจะจบไหม

- ผู้ส่งออกไม่ร่วมประมูล

ที่ ประมูลผู้ส่งออกไม่นิยมซื้อ เพราะต้องรับสภาพข้าวที่ประมูลซึ่งมีการจัดเก็บไว้นาน เราไม่รู้หรอกข้าวในโกดังเป็นหมื่น ๆ กระสอบจะมีคุณภาพเป็นอย่างไร จึงมีจดหมายถึงท่านนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายก รัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ควบคุมมาตรฐาน โดยเสนอว่าถ้าจะยังคงใช้นโยบายจำนำ ต้องมีการตรวจสอบข้าวที่จะเข้าคลังไปจนถึงกระบวนการระบายข้าว ต้องโปร่งใส คุณภาพควบคุมได้ แต่ผมว่าหยุดเลยจะดีกว่า เพราะการจำนำเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ ต่อให้คุณสุจริต แต่มันมหึมาควบคุมไม่ได้ และเสื่อมคุณภาพเร็ว เก็บ 5-6 เดือนคุณค่ามันหายไปหมด นี่เป็นตัวแปรสำคัญ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ

- แนวโน้มการส่งออกข้าวปี 2557

น่า จะส่งออกได้ดีขึ้น เพราะราคาไทยปรับลดลงใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกมากขึ้น จะมีตลาดบางแห่งกลับมาซื้อไทยมากขึ้น จึงมีโอกาสที่จะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน เท่ากับเวียดนาม ส่วนอินเดียประมาณ 9-9.5 ล้านตัน โดยปริมาณส่งออกข้าวหอมมะลิค่อนข้างมั่นคง ปีละ 2 ล้านตัน เป็นข้าวต้น 1.5-1.6 ล้านตัน และเป็นข้าวหัก 4-5 แสนตัน ขึ้นอยู่กับราคา ถ้าราคาอยู่ประมาณ 1,000 เหรียญสหรัฐ เทียบกับกัมพูชา 900 เหรียญสหรัฐ และเวียดนาม 600 เหรียญสหรัฐพอแข่งขันได้ เราเอาปทุม 650-700 เหรียญสหรัฐ ไปแข่งกับเวียดนาม ตันละ 600 เหรียญสหรัฐ ก็ไม่ได้เกิดแล้ว แต่ปัญหาที่ผ่านมาเราไปเปิดให้เขาเกิดก่อน

ส่วนข้าวขาวนั้นตลาดหลัก ของไทย คือ อิรัก ปีละ 7-8 แสนตัน เขาไม่เกี่ยงราคา แต่ที่ผ่านมาที่เราส่งออกไปมีปัญหาคุณภาพ ส่วนข้าวนึ่งน่าจะดีขึ้น เพราะราคาระดับ 450 เหรียญสหรัฐ อินเดียที่ตั้งราคา 415 เหรียญสหรัฐ สู้ได้ ถ้าต่างกันตันละ 30-40 เหรียญสหรัฐ ก็น่าจะเพิ่มขึ้นบ้าง

ปัจจัย หนึ่งที่ทำให้ราคาเราถูกกว่า เป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนของเราอ่อนค่าลงมาที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากปีก่อน 29 บาทกว่า ซึ่งถือว่ามีความสำคัญนะ ถ้าปีหน้าอัตราแลกเปลี่ยนไปเป็น 33 บาท การแข่งขันยิ่งดีขึ้น แต่ก่อนเวียดนาม 12,000-16,000 ด่องต่อ 1 เหรียญสหรัฐ วันนี้ 21,000 ด่องต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ปัจจุบันนี้ก็ปรับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันแล้ว ส่วนแนวโน้มราคายังอาจลดลงอีกในช่วงต้นปี เพราะผลผลิตใหม่ของเวียดนามจะออกก็จะมีแรงเทขายออกมา

- ความคืบหน้าเอ็มโอยูกับจีน

ปกติ จีนนำเข้าต้องมีโควตาตามดับเบิลยูทีโอ ปีละ 5.5 ล้านตัน หากนอกโควตาเสียภาษี 60% ถ้าโควตาหมด ไทยยังมีนอกโควตาอีกปีละ 2 แสนตัน ขึ้นอยู่กับคอฟโก้ว่าต้องการซื้อหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีการตกลงราคากัน อาจจะไม่มีการซื้อขายก็ได้ ถ้าโควตานั้นเพียงพอต่อความต้องการ หรือราคาเราสูงไป ฉะนั้นยังเป็น "ปริศนาอยู่" แต่ก็ถือว่ามีโอกาส เพราะจีนเริ่มมีปัญหาเรื่องพื้นที่เพาะปลูกที่มีการปนเปื้อนสารโลหะ หนัก ชาวบ้านไม่ซื้อ ผลผลิตจีนลดลงจาก 144 ล้านตัน เหลือ 142 ล้านตัน คาดว่าปี จีนจะซื้อไม่ต่ำกว่า 5 ล้านตัน ผ่านการค้าปกติ 3 ล้านตัน และผ่านชายแดน 2 ล้านตัน ทางด้านพม่า 8 แสนตัน เวียดนามอีก 1.2 ล้านตัน

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

TREA on Facebook


©
Thai Rice Exporters Association

37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678

E-mail :
contact@thairiceexporters.or.th


Copyright © 2014 All rights reserved by Thai Rice Exporters Association.