ุ
ประมูลข้าวฟิลิปปินส์ 8 แสนตันคึกคัก ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่-รายเล็กเตรียมแห่ร่วมประมูลแข่งเวียดนามเจ้าตลาด "เอเซีย โกลเด้น ไรซ์-ข้าวไชยพร"โอดเงื่อนไขโหด ต้องเป็นข้าวใหม่ไม่เกิน 4 เดือน ส่งมอบถึงโกดังปลายทางสร้างภาระแต่พร้อมร่วม ขณะที่นครหลวงค้าข้าวระบุเตรียมตัวไม่ทัน หันเล็งตลาดอิรักแทนหลังได้ไฟเขียวข้าวไทยร่วมประมูลอีกครั้ง

กรณีรัฐบาลฟิลิปปินส์เตรียมเปิดประมูลซื้อข้าวประมาณ 8 แสนตันในวันที่ 15 เมษายนนี้ เบื้องต้นกรมการค้าต่างประเทศของไทยมีแผนจะเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วย  แต่ติดปัญหาเรื่องการหาเงินค้ำประกัน 2% ของมูลค่าข้าวที่ต้องใช้เป็นหลักร้อยล้านบาท ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภาคเอกชนไทยเข้าร่วมประมูล โดยระบุหากเอกชนประมูลขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ได้ก็ต้องมาซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลเพื่อส่งมอบอยู่ดี

ทั้งนี้จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงความสนใจในการเข้าร่วมประมูลขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ของผู้ส่งออกในครั้งนี้ค่อนข้างคึกคัก โดยนายสมบัติ  เฉลิมวุฒินันท์ ประธานบริษัท เอเซีย โกลเด้น ไรซ์ จำกัด (บจก.) ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าร่วมประมูลขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ด้วย และเชื่อว่าจะมีผู้ส่งออกข้าวไทยอีกหลายบริษัทเข้าร่วมประมูล เพราะถือเป็นข้าวล็อตใหญ่ อย่างไรก็ดีจากการพิจารณาเงื่อนไขการประมูล(ทีโออาร์)ในครั้งนี้ พบว่า ในหลายประเด็นค่อนข้างปฏิบัติได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ อาทิ ข้าวที่ต้องการในครั้งนี้ต้องเป็นข้าวสดใหม่ เก็บเกี่ยวและสีเก็บสต๊อกไม่เกิน 4 เดือน ณ วันส่งมอบ

"เราเสียเปรียบเวียดนามที่เป็นเจ้าตลาดฟิลิปปินส์ เพราะข้าวใหม่ของเราเทียบกับข้าวใหม่ของเวียดนามเราสูงกว่าเล็กน้อย แต่หากประมูลได้ และต้องหาข้าวส่งมอบ ซึ่งต้องขอซื้อหรือประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาลไปส่งมอบที่กังวลคือความสดของข้าวจะได้ตามสเปกของฟิลิปปินส์หรือไม่ แต่หากต้องไปซื้อข้าวในตลาดเพื่อส่งมอบ ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกของไทยลดลงเหลือ 6-8 พันบาทต่อตัน ที่ห่วงคือจะมีข้าวพอให้ซื้อหรือไม่ และหากต้องไปส่งมอบในราคาถูกๆ เสี่ยงที่จะไม่มีกำไร อย่างไรก็ตามทางบริษัทจะเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ รวมถึงบริษัทอื่นๆ แต่คงหวังแย่งชิงในเชิงปริมาณไม่ได้ เพียงขอให้มีเร็กคอร์ดก็พอ ได้มากได้น้อยเป็นอีกเรื่อง"

ด้านนายเสริมศักดิ์  ควรทรงธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บจก.ข้าวไชยพร เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าร่วมประมูลข้าวฟิลิปปินส์ในครั้งนี้เช่นกัน ซึ่งจากที่ดูเงื่อนไขการประมูลเบื้องต้นนอกจากต้องเป็นข้าวไม่เกิน 4 เดือนแล้ว ยังมีอีกหลายประเด็นที่ถือเป็นการเพิ่มภาระ เช่น ผู้ชนะการประมูลจะต้องเป็นผู้ส่งมอบข้าวจนถึงคลังปลายทาง ขณะที่ชนิดข้าวที่จะเปิดประมูลเป็นข้าวขาว 15%  ซึ่งปัจจุบันราคาข้าวชนิดนี้ของไทยและเวียดนามที่เป็นข้าวใหม่ราคาเฉลี่ยที่ 375-380 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน โดยข้าวเวียดนามราคาต่ำกว่าข้าวไทยเล็กน้อย แต่ปัญหาคือข้าวขาว 15% ของไทยในขณะนี้ โรงสีส่วนใหญ่จะสีเป็นข้าวขาว 5% หากต้องการข้าวขาว 15% ต้องหาข้าวหักมาผสมซึ่งหาได้ค่อนข้างยาก

ในส่วนของบริษัทรวมถึงผู้ส่งออกอีกหลายรายเคยเข้าร่วมประมูลขายข้าวให้ฟิลิปปินส์มาบ้างแล้วในช่วงปี 2551-2553 และได้มาจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นส่วนใหญ่ข้าวไทยแพ้ประมูลให้กับข้าวเวียดนามที่ราคาถูกกว่า ซึ่งเป็นผลจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกราคาสูงของรัฐบาล ทำให้ขณะนี้เวียดนามครองตลาดข้าวในฟิลิปปินส์สัดส่วนกว่า 70-80%

"เรามีความพยายามที่จะเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ ซึ่งจากเงื่อนไขต้องส่งข้าวถึงโกดังปลายทาง เราจะต้องติดต่อบริษัทขนส่งที่โน่น ปัจจุบันมีบริษัทที่ผูกขาดขนส่งในฟิลิปปินส์อยู่ 1-2 ราย และโขกราคาพอสมควร ถือเป็นการเพิ่มภาระ ดังนั้นเราอาจจะเข้าร่วมผ่านบริษัทเทรดเดอร์ โดยให้ราคาเขาไปร่วมประมูล เพราะเขาจะรู้ช่องทางมากกว่าเรา"

ขณะที่นายวัลลภ  พิชญ์พงศา รองกรรมการผู้จัดการ บจก.นครหลวงค้าข้าว เปิดเผยว่า จากการพิจารณาเบื้องต้นบริษัทคงไม่ได้เข้าร่วมประมูลขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ เพราะเงื่อนไขต้องส่งข้าวถึงคลังปลายทางทำให้การคำนวณราคาค่อนข้างลำบาก และมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่ม หากจะร่วมประมูลคงต้องมีตัวแทนที่ฟิลิปปินส์ช่วยดำเนินการ ครั้งนี้จึงเตรียมตัวไม่ทัน อีกด้านหนึ่งตลาดที่บริษัทให้ความสนใจในขณะนี้คืออิรัก ที่ล่าสุดได้ไฟเขียวให้ไทยสามารถเข้าร่วมประมูลขายข้าวได้อีกครั้ง แต่วิธีการบริษัทคงไม่เข้าประมูลเองโดยตรง แต่จะผ่านบริษัทเทรดเดอร์ ที่ซื้อข้าวจากบริษัทในราคาเอฟโอบีไปร่วมประมูล โดยบริษัทส่งมอบสินค้าให้ ณ ท่าเรือต้นทาง

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ