ุ
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการประมูลข้าวสารในสต็อกรัฐบาลปริมาณ 167,000 ตัน ว่า วานนี้ (13 ส.ค.) คณะทำงานระบายข้าว ซึ่งมีตน เป็นประธาน ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาราคาขั้นต่ำ (ฟลอร์ไพรซ์) สำหรับการประมูลข้าวล็อตนี้ใหม่ โดยได้คิดรวมค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวเข้าไปด้วยตันละกว่า 1,000 บาท จากเดิมการกำหนดราคาฟลอร์ไพรซ์ คิดเพียงค่าเสื่อมสภาพข้าว และค่าขนส่งออกจากโกดังเท่านั้น ทำให้ราคาฟลอร์ไพรซ์ ต่ำลงจากเดิม และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
"เดิมเรากำหนดราคาฟลอร์ไพรซ์ โดยไม่ได้คิดรวมค่าปรับปรุงคุณภาพด้วย แต่ผู้ส่งออก เสนอราคาซื้อแบบคิดค่าปรับปรุงเข้าไปด้วย ทำให้ทั้ง 46 ราย ที่เข้าร่วมประมูลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เสนอราคาต่ำกว่าฟลอร์ไพรซ์ทั้งหมด ถ้านบข.เห็นชอบราคาฟลอร์ไพรซ์ใหม่ ที่เสนอไป หลายรายจะชนะการประมูล เพราะส่วนใหญ่ที่เสนอราคามาจะต่ำกว่าฟลอร์ไพรซ์ไม่มาก” นางดวงพรกล่าว
นอกจากนี้ คณะทำงานระบายข้าว จะนำเสนอให้นบข.พิจารณาราคาที่เอกชนเสนอซื้อข้าวจากรัฐเมื่อวันที่7 ส.ค.ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งเป็นราคาที่เสนอซื้อครั้งแรก ไม่ได้มีการเจรจาต่อรองให้ปรับเพิ่มขึ้น หากนบข.พิจารณาเห็นชอบแล้ว ก็จะอนุมัติขายให้ทันที ส่วนการประมูลข้าวครั้งที่ 2 คาดอาจเปิดประมูลได้ภายใน 2 สัปดาห์
นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด กล่าวว่าการกำหนดราคาฟลอร์ไพรซ์ของกรมการค้าต่างประเทศ ไม่ทราบว่า เอาอะไรเป็นเกณฑ์คำนวณ หากเอาราคาต้นทุนเป็นเกณฑ์ ก็ไม่มีผู้ส่งออกรายใดชนะการประมูลแน่นอน เพราะผู้ส่งออกที่เสนอราคาซื้อนั้น ต้องคำนวณค่าเสื่อมสภาพ ค่าปรับปรุงคุณภาพ และค่าขนส่งออกจากโกดังด้วย
ส่วนการจะเพิ่มราคาฟลอร์ไพรซ์ให้อีกตันละประมาณ 1,000 บาทโดยเพิ่มในส่วนของค่าปรับปรุงสภาพข้าวให้ด้วยนั้น ที่จริงรัฐไม่ควรทำเรื่องให้ยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องคิดค่าปรับปรุงคุณภาพ หรือค่าขนส่งให้ผู้ส่งออก เพราะเป็นหน้าที่ของผู้ส่งออกที่ต้องคำนวณ
“ผมมองว่า การประมูลข้าวซื้อข้าวรัฐวิธีการที่ดีที่สุด และโปร่งใสคือ การขายหน้าคลังแบบมีราคากลางเป็นเกณฑ์ แต่รัฐต้องประกาศราคากลางให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้รับทราบด้วย ในระหว่างการเปิดซองเสนอราคาซื้อ เพราะจะทำให้ทราบทันทีว่าใครจะชนะการประมูลหรือไม่ เปิดโอกาสให้ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุด 5 รายแรกมีโอกาสต่อรองราคา ส่วนรายใดที่เสนอราคาต่ำกว่าเกณฑ์มากๆ ก็อาจตัดสิทธิ์ หรือขึ้นบัญชีดำไม่ให้เข้าร่วมประมูล เพราะจงใจเสนอราคาต่ำมาก”
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าการประมูลข้าวครั้งนี้ ทำให้ผู้ส่งออก ที่มีคำสั่งซื้อแน่นอนแล้วเสียโอกาสให้การขายข้าวให้ลูกค้า เพราะผ่านมาหลายวันแล้วยังไม่ทราบว่าจะชนะการประมูลหรือไม่ ขณะที่ได้ตกลงราคาล่วงหน้ากับลูกค้าไปแล้ว ทำให้ลูกค้าบางรายรอไม่ได้ ก็หันไปซื้อจากประเทศอื่นแทน
สำหรับบริษัท พงษ์ลาภ ในการประมูลครั้งนี้ เสนอซื้อข้าวขาว 5% ราคาตันละ 11,775 บาท ถือว่าสูงมาก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากกรมการค้าต่างประเทศ ว่าจะชนะการประมูลหรือไม่ ทำให้ต้องหาซื้อข้าวในตลาดมาส่งออกแทน ขณะนี้ราคาข้าว 5% ซึ่งเป็นข้าวใหม่เพียงตันละ 13,000 บาท เมื่อเทียบกับราคาซื้อจากสต็อกรัฐก็ใกล้เคียงกัน แต่คุณภาพข้าวใหม่ดีกว่าข้าวรัฐมาก
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้รัฐเร่งขายข้าวหอมมะลิใหม่ออกไปก่อน เพราะตอนนี้ราคายังดี ถ้ายังล่าช้าราคาจะตกลงมาก เพราะข้าวใหม่กำลังจะออกสู่ตลาด หากเก็บไว้นาน 1 ปีราคาจะตกกิโลกรัมละ100 บาท ขณะที่ข้าวขาวราคาจะตกเพียงกิโลกรัมละ10 บาทเท่านั้น
“ตอนนี้ผมหาซื้อข้าวในตลาดดีกว่า เพราะเป็นข้าวใหม่ คุณภาพดีกว่า ทำให้มีข้าวมาส่งออกแน่นอน ตัดปัญหาความยุ่งยาก บางรายที่ยังรอการอนุมัติขายให้อยู่ก็ออร์เดอร์หลุดไปแล้ว”นายสมพงษ์ กล่าว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
|