ุ
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภายหลังจากยอดการส่งออกข้าวไปยังตลาดจีนเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยในช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) ของปี 2557 มีปริมาณทั้งสิ้น 2.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 43.3% และมูลค่า 37,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

โดยเฉพาะการส่งออกไปจีนมีปริมาณถึง 300,000 ตัน เพิ่มขึ้นมากกว่ายอดส่งออกข้าวไปจีนในปี 2556 ทั้งปี ที่มียอดเพียง 270,000 ตัน ส่งผลให้เกิดปัญหาตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้ามีปริมาณ

ไม่เพียงพอ ขณะนี้สายการเดินเรือส่งสินค้า Orient Overseas Container Line หรือ OOCL และบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด ได้ขอปรับขึ้นค่าระวางเรือ (ค่าเฟรต) อีกตันละ 1 เหรียญสหรัฐต่อเที่ยว ขณะที่สายการเดินเรือที่ขนส่งไปยังตลาดส่งออกข้าวสำคัญอื่น เช่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ ก็มีการปรับขึ้นค่าระวางเรืออีก 10-20 เหรียญสหรัฐต่อตู้ต่อเที่ยว

นายสมบัติ เฉลิมวุฒินันท์ ประธานบริษัท เอเชีย โกลเด้นไรซ์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากยอดส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากเดือนละ 500,000 เป็น 800,000-900,000 ตัน ทำให้มีปัญหาตู้คอนเทนเนอร์และหัวลากไม่เพียงพอ ล่าสุดทางผู้ประกอบการสายการเดินเรือได้ปรับขึ้นค่าเฟรตอีกตันละ 3-5 เหรียญสหรัฐ เมื่อ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนกรรมกรก็ไม่เพียงพอด้วยเช่นกัน

"การส่งออกข้าวไทยชะลอตัวไป 2 ปี เพิ่งกลับมาคึกคักหลังจากที่ราคาข้าวลดลงจนไทยสามารถแข่งขันได้ ลูกค้าก็กลับมา ทำให้ผู้ส่งออกได้รับออร์เดอร์เพิ่มขึ้นเท่าตัวจนส่งออกปรับตัวไม่ทัน เรือตู้ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะถูกกว่าเรือใหญ่ ทำให้คอสต์ค่าเฟรตก็ขยับขึ้นไปตาม"

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การปรับปรุงคุณภาพข้าวขาว 5% เพื่อส่งมอบ COFCO Corporation รัฐวิสาหกิจจีนที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับรัฐบาลไทยปริมาณ 1 ล้านตัน โดยมีกำหนดส่งมอบลอตแรก 100,000 ตันภายในเดือนเมษายนนั้น ขณะนี้บริษัทผู้ส่งออกข้าวที่ได้รับจ้างปรับปรุงคุณภาพข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลเพื่อส่งมอบจีนลอตแรกทั้งหมด5 ราย คือ บริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์ นครหลวงค้าข้าว พงษ์ลาภ ไชยพรค้าข้าว และซี.พี.อินเตอร์เทรด นับจากประมูลจนถึงขณะนี้ส่งมอบได้เพียง 10,000-20,000 ตัน สาเหตุที่ช้าอาจเกิดจากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอ และมีการปรับขึ้นราคาค่าเฟรตอีกตันละ 1-5 เหรียญสหรัฐ ทุกประเภททั้งแบบเอฟ.โอ.บี.และแบบซี.ไอ.เอฟ. ทำให้ผู้ส่งออกบางรายต้องปรับชิปเมนต์ในการขนส่ง ไม่เช่นนั้นจะส่งไม่ทันตามกำหนด และถูกปรับในอัตราวันละ 0.2% ของข้าวที่ส่งมอบไม่ทัน

นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ที่ปรึกษาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประกาศปรับขึ้นค่าระวางเรือของสายการเดินเรือไปสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาปรับตัวดีขึ้น ทำให้การส่งออกสินค้าจากเอเชียไปสหรัฐเพิ่มขึ้น ความต้องการตู้คอนเทนเนอร์จึงเพิ่มขึ้นตาม เห็นจากขณะนี้ผู้ส่งออกมีการจองตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่สายเดินเรือลดปริมาณการเดินเรือลง ซึ่งก็อาจจะเป็นเหตุให้มีการปรับเพิ่มขึ้นค่าระวางเรือ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยควรรวมกลุ่ม เพื่อเจรจากับบริษัทเดินเรือ เพื่อหาข้อตกลงค่าระวางเรือที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะบริษัทเดินเรือส่วนใหญ่ก็ต้องการตัวเลขที่ชัดเจน สำหรับใช้วางแผนการขนส่งแต่ละครั้ง เพื่อจัดหาตู้คอนเทนเนอร์ให้เพียงพอ และต้องหาจุดคุ้มทุน แต่หากผู้ส่งออกต่อรองไม่สามารถรับภาระค่าระวางเรือได้ บริษัทเดินเรืออาจพิจารณาชะลอการปรับออกไป

"ผู้ส่งออกที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีถือเป็นกลุ่มที่เสียเปรียบมากกว่าใคร เนื่องจากไม่มีอำนาจต่อรองเรื่องราคา ยอมจ่ายเพื่อให้ส่งสินค้าได้ ส่วนผู้ส่งออกรายใหญ่ไม่น่ากังวลมากเพราะเขามีอำนาจต่อรองอยู่แล้ว"

ด้านนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประกาศขึ้นค่าระวางเรือเป็นผลจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 จะดีขึ้น ทำให้สายเดินเรือปรับขึ้นค่าระวางเรือรอ โดยเฉลี่ยค่าระวางเรือที่สายเดินเรือไปสหรัฐปรับขึ้น อาทิ ตู้สั้นอยู่ที่ 1,850-2,000 เหรียญสหรัฐ

"ตู้คอนเทนเนอร์มีโอกาสที่จะไม่เพียงพอหากช่วงนั้นมีการส่งออกสินค้ามาก แต่ทางผู้ส่งออกต้องวางแผนและเจรจาค่าระวางล่วงหน้า เพื่อให้ได้ราคาที่รับได้ และมีเรือส่งมอบสินค้าได้ทันตามออร์เดอร์ สร้างความมั่นใจให้กับบริษัทเดินเรือว่ามีสินค้าส่งแน่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2557 อัตราค่าระวางเรือ 2 เส้นทางหลัก ได้แก่ ไทย-ยุโรป และไทย-สหรัฐอเมริกา มีการปรับตัวขึ้น-ลงตามต้นทุนและความเคลื่อนไหวของปริมาณการค้า มีข้อน่าสังเกตว่าตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมอัตราค่าระวางเรือมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้น

โดยเส้นทางไทย-ยุโรปตู้ขนาด 20 ฟุตมีการปรับขึ้น 1,550 เหรียญสหรัฐ และตู้ขนาด 40 ฟุตมีการปรับขึ้น 3,100 เหรียญสหรัฐ ส่วนอัตราค่าระวางเรือในเส้นทางไทย-สหรัฐ สำหรับฝั่งตะวันตกตู้ขนาด 20 ฟุตมีการปรับขึ้น 1,800 เหรียญสหรัฐ และตู้ขนาด 40 ฟุตมีการปรับขึ้น 2,260 เหรียญสหรัฐ สำหรับฝั่งตะวันออกตู้ขนาด 20 ฟุตมีการปรับขึ้น 3,200 เหรียญสหรัฐ และตู้ขนาด 40 ฟุตมีการปรับขึ้น 3,950 เหรียญสหรัฐ"

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์