ุ
นายศักดิ์ดา ทองปลาด รองผู้จัดการ และผู้ทำการแทนผู้จัดการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET เปิดเผยว่า การประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลโดยอิงราคาซื้อขายล่วงหน้าในเอเฟท ครั้งที่ 1/2557 นี้ จะมีการนำข้าวฤดูการผลิตปีปัจจุบัน 2556/57 ทั้งข้าวขาว 5% และข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดเข้ามาให้ประมูล โดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดสรรมา เพื่อให้ตอบรับกับความต้องการของผู้ประกอบการข้าว
การประมูลข้าวผ่านเอเฟท ยังคงเป็นวิธีการประมูลเดียวที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยมีการกำหนดเดือนรับมอบสินค้าข้าวล่วงหน้าที่แน่นอน ซึ่งการประมูลข้าวผ่าน เอเฟท อย่างต่อเนื่องนี้ ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการเห็นแนวโน้ม ทิศทางราคา และสามารถใช้เป็นราคาอ้างอิง ที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนจัดการค้าข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผลการประมูลข้าวผ่านเอเฟท 3 ครั้งที่ผ่านมานั้น มีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมประมูลมากขึ้นเรื่อยๆ จากครั้งแรกๆ ที่ผู้ประกอบการยังรอดูทิศทางและแนวโน้มราคาจากช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว
สำหรับการประมูลข้าวครั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ทิศทางและภาวะราคาข้าวโดยรวมจากผลการประมูลข้าวครั้งก่อนหน้า จึงมีความน่าสนใจ ประกอบกับมีการนำข้าวหอมมะลิ และข้าวขาวฤดูการผลิตใหม่ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดเข้าร่วมประมูล และยังคงมีข้าวขาวในฤดูการผลิตที่ผ่านมาซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวไทยเข้ามาเปิดประมูลด้วย จึงมีความหลากหลายและน่าสนใจยิ่งขึ้น
นายศักดิ์ดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เอเฟทจึงเชิญชวนผู้ประกอบการร่วมยื่นซองประมูลข้าว โดยครั้งนี้เป็นข้าวขาว 5% ปริมาณ 110,480 ตัน จากคลังในพื้นที่ จ.สระบุรี จ.ลพบุรี และจ.พิษณุโลก และข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 38,460 ตัน จากคลังในพื้นที่จ.อุบลราชธานี และจ.นครราชสีมา ซึ่งทั้งหมดเป็นข้าวที่มีคุณภาพดีจากคลังที่เป็นที่เชื่อถือของผู้ประกอบการข้าว กำหนดการประมูล ในวันพุธที่ 22 ม.ค.นี้ เวลา 9.00-12.00 น. ณ ห้องประชุม 30410 ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี (เปลี่ยนแปลงกำหนดการจากเดิมวันนี้ (15 ม.ค.)
ส่วนการเตรียมการรองรับกับภาวะฉุกเฉินจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น เอเฟท ได้มีแผนต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) และศูนย์สำรองและกอบกู้ระบบ (DRC) ที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ จึงขอให้ผู้ประกอบการ และผู้ลงทุนมั่นใจว่าจะสามารถเข้าทำการซื้อขายได้เป็นปกติ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
|