ุ
นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (ธุรกิจข้าวและอาหาร) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวระหว่างการเสวนาหัวข้อ ศักยภาพข้าวไทยกับการแข่งขันการเปิดเสรีอาเซียน หรือ เออีซี ว่า แนวโน้มราคาข้าวไทยในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมนี้ จะถึงจุดต่ำสุด โดยข้าวขาว 5% ราคาจะอยู่ที่ 360-380 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 400 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ในขณะที่ตลาดส่งออกข้าว มีทิศทางดีขึ้น เนื่องจากราคาข้าวที่ปรับลดลง ทำให้การเจรจาต่อรองง่ายขึ้น และมีโอกาสที่ไทยจะกลับสู่ตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก
สำหรับสถานการณ์ข้าวในตลาดโลกตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 27 ราคาปรับลดลง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ของเวียดนาม ราคาข้าวของอินเดียและปากีสถานอ่อนตัวลง ประกอบกับรัฐบาลไทยเร่งระบายข้าวในสต๊อกจากโครงการรับจำนำข้าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ซื้อและผู้นำเข้าข้าว วิตกว่าราคาข้าวจะลดลงอีกจึงซะลอการสั่งซื้อ
นายสุเมธ กล่าวถึงสถิติการส่งออก ข้าวในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ว่า ไทยส่งออกข้าวได้ถึง 1.5 ล้านตัน มากที่สุดในโลก เหนือกว่าอินเดียที่ส่งออกได้ 1 ล้านตัน และเวียดนามส่งออกได้ 8 แสนตัน โดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ คาดว่า ปีนี้ไทยจะกลับมาเป็นผู้ส่งออกข้าวเบอร์ 2 ของโลกได้อีกครั้ง จากคุณภาพข้าวที่ดีขึ้นและราคาที่ต่ำลง โดยคาดว่าไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 8.5 ล้านตัน ในขณะที่ราคาข้าวเปลือกในประเทศลดลงเหลือ 6,000-7,000 บาทต่อตัน สวนทางกับต้นทุนการผลิต ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทต่อไร่
ส่วนสถานการณ์ราคาข้าวถุง ผู้ประกอบการได้ทยอยปรับลดราคาขายลงมาแล้วร้อยละ 10 ตั้งแต่ต้นปีนี้และมีแนวโน้มปรับลดราคาลงต่อเนื่องถึงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ตามทิศทางราคาข้าวเปลือกและข้าวสาร ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ไม่ค่อยดี ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคตกลง ดังนั้นราคาข้าวถุงยังต้องปรับราคาลง
สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่า จะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากผู้ซื้อจะกลับเข้าสู่ตลาด เพื่อซื้อข้าวเก็บใส่สต๊อก ประกอบกับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนินโญจะเห็นชัดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งจะผลักดันให้ราคาข้าวสูงขึ้นได้อีก
นายสุเมธ กล่าวว่า การแข่งขันตลาดข้าวไทยกับต่างประเทศ ต้องเน้นเรื่องคุณภาพและราคาเป็นสำคัญ โดยผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมด้านการแข่งขันโดยเข้าร่วมกับภาครัฐพัฒนา คุณภาพข้าว ซึ่งจะเห็นได้ว่า อิรักที่เดิมเป็นผู้ซื้อข้าวรายใหญ่ของไทย หันไปซื้อข้าวจากสหรัฐอเมริกา และอุรุกวัยแทน เพราะมีคุณภาพดีกว่าข้าวไทย
“หากไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว จะทำให้นโยบายบริหารจัดการเรื่องข้าวมีความชัดเจนขึ้น เพราะรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจตัดสินใจนโยบายที่อาจมีผลผูกพันรัฐบาลใหม่ได้ ส่วนรัฐบาลใหม่จะเดินหน้าโครงการรับจำนำต่อหรือไม่นั้น มองว่า รัฐบาลควรนำข้อดีและข้อเสียของโครงการรับจำนำและโครงการประกันรายได้ที่มีบทเรียนมาแล้ว มาปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อดูแลสถานการณ์ข้าวและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาให้ดีขึ้น เพราะยังมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องช่วยเหลือชาวนา”
ที่มา ข่าวไทยรัฐออนไลน์
|