ุ 
                                  แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว  เปิดเผยว่า  ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดหลักเกณฑ์การประมูลข้าวในส่วนของข้าวเสียหายและเป็นผง  1.29 ล้านตัน และข้าวเกรดซี ที่อยู่ในโกดังเดียวกัน 1.3 ล้านตัน แบบเปิดกว้าง  เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการค้าข้าวทั่วไปสามารถเข้าร่วมประมูลข้าวในส่วนนี้ได้  จากเดิมที่กระทรวงฯจะกำหนดให้เฉพาะอุตสาหกรรมเข้ามาประมูลได้เท่านั้น คือ  ข้าวเสียหายและเป็นผงเปิดประมูลให้กับอุตสาหกรรมชีวมวล  และข้าวเกรดซีจะเปิดประมูลให้กับอุตสาหกรรมเอทานอล  
ทั้งนี้  วงการค้าข้าวมองว่า หากเปิดกว้างให้ผู้ค้าข้าวหรืออุตสาหกรรมอื่นมีส่วนร่วมในการประมูลข้าว  2 ส่วนนี้ จะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์จากการประมูลมากกว่า  เพราะจะมีการแข่งขันทางด้านราคา  โดยข้าวเสียหายและเป็นผงเชื่อว่าราคาที่จะมีการแข่งขันกันน่าจะมีการเสนอราคาอยู่ที่กก.มากกว่า  4-5 บาทขึ้นไป หากระบายทำชีวมวลก็จะถูกกดราคาเหลือแค่กก.ละ 1-2 บาท  เพราะเชื่อว่าข้าวในส่วนนี้ไม่ได้เสียหายทั้งหมด หรือเป็นฝุ่นแป้งไปทั้งหมด  มีบางส่วนที่สามารถคัดแยกและนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์ที่ได้ราคาสูงกว่า  อย่างราคาปลายข้าวที่ขายในตลาดปัจจุบันก็ไม่ต่ำกว่าราคา 8 บาท/กก.แล้ว  ส่วนข้าวเกรดซีเชื่อว่าจะมีการแข่งขันเสนอราคาซื้อสูงถึง 7-8 บาท/กก.ขึ้นไป  
                                  "ตอนนี้วงการข้าวมองว่ารัฐบาลจำกัดเงื่อนไขมากเกินไป เช่น  ข้าวเกรดซีก็ไประบุจะระบายเอทานอล ซึ่งมีเพียงไม่กี่โรงงาน  แทนที่จะเปิดกว้างและแข่งขันราคา  คือให้ทั้งโรงงานเอทานอลเข้ามาร่วมประมูลและเอกชนรายอื่นด้วย หากใครเสนอสูงกว่าราคากลางที่รัฐกำหนด  ก็ได้ข้าวในส่วนนี้ไป  ถือเป็นการเพิ่มช่องทางระบายข้าวออกไปได้เร็วให้กับรัฐบาล"แหล่งข่าว กล่าว 
                                  แหล่งข่าว  กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลที่ว่าข้าวเกรดซี  หรือข้าวเป็นฝุ่นผงหากมีการเปิดระบายให้ส่วนอื่น  จะวนกลับมาสู่ตลาดข้าวปกติเป็นไปได้ยาก เพราะผู้ประกอบการที่ค้าข้าวในตลาดก็มีการสร้างแบรนด์สินค้า  หากมีการนำของไม่มีคุณภาพมาขายให้กับผู้บริโภค ก็จะเป็นทำลายชื่อเสียงของตัวเอง  อีกทั้งมองว่าปัจจุบันไม่มีโครงการรับจำนำข้าวแล้ว  ดังนั้นการเข้าไปซื้อข้าวราคาถูกเพื่อนำกลับมาสวมสิทธิ์ในโครงการรับจำนำข้าว  จึงไม่เกิดขึ้นได้อีก  
                                  อย่างไรก็ตาม  รัฐบาลควรเปิดกว้าง เพื่อให้รัฐขายข้าวได้ราคาดีที่สุด  อีกทั้งมองว่าที่ผ่านมาการตรวจสอบคุณภาพข้าวก็มีเพียงฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปตรวจสอบ  ไม่ได้ให้ทางฝ่ายภาคเอกชนที่มีความรู้ด้านข้าวเข้าไปร่วมตรวจสอบสต๊อกข้าว  การกำหนดว่าข้าวทั้งหมดเน่าเสียจึงอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หรือข้าวเกรดซี  ซึ่งบางครั้งมีการล้อมกองโดยมีข้าวเกรดซีเพียงเล็กน้อยและไปเหมารวมว่าเป็นข้าวเกรดซีทั้งหมด  ยิ่งทำให้รัฐบาลเสียประโยชน์และทำให้ข้าวส่วนนั้นราคาตกลงไปอีก  
                                  แผนการตลาดของรัฐบาลนั้น  วงการข้าวมองว่าผิดพลาด เพราะการไประบุว่าโกดังทั้งหมดเป็นข้าวเกรดซี  ซึ่งจะทำให้ข้าวรัฐยิ่งราคาตก ซึ่งไม่ควรระบุ  แต่เมื่อระบายก็เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมต่างๆเข้าไปดูเข้า  ทางธุรกิจจะพิจารณาเองว่าข้าวส่วนนั้นจะนำมาใช้ทำอะไร  และจะแข่งขันกันเสนอราคาเท่าไหร่ ทำให้ราคาที่นายมานัส กิจประเสริฐ  นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า  จากภาวะภัยแล้งทำให้ผลผลิตข้าวเปลือกออกสู่ตลาดลดลง  ส่งผลให้ความต้องการข้าวเปลือกในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และปัจจัยที่ไทยต้องส่งมอบข้าวตามคำสั่งซื้อแบบรัฐต่อรัฐกับจีนปริมาณ 1 ล้านตัน  ซึ่งทยอยส่งมอบจนถึงแสนที่ 6 และกำหนดส่งมอบเร็วๆนี้  เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้น เพราะจีนต้องข้าวฤดูกาลใหม่  ล่าสุดราคาซื้อขายข้าวเปลือกในตลาด (ความชื้น 15%) เฉลี่ยตันละ 8,200-8,700 บาท  แล้ว ส่วนราคาข้าวสาร 5% ก่อนหน้านี้ตันละ 1.1-1.15 หมื่นบาท ปัจจุบันราคาเฉลี่ยที่ตันละ  1.25 หมื่นบาท หรือช่วงเวลาประมาณ 20 วันราคาข้าวปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตันละ  1,000 บาท  
                                  ทั้งนี้สมาคมโรงสีข้าวรายงานว่า  ราคาข้าวเปลือกเจ้า 100% ณ วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ตันละ 8,200 (ความชื้น 15% ) ส่วนข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 1.3 หมื่นบาท ข้าวหอมมะลิ  ตันละ 1.3-1.5 หมื่นบาท ส่วนข้าวสาร 5% ตันละ 1.18-1.2 หมื่นบาท  สำหรับราคาส่งออกข้าว (FOB) ข้าวหอมมะลิ ตันละ 1,046 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก ตันละ 1,037  เหรียญสหรัฐ ข้าวสาร 5% ตันละ 390 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากตันละ 381 เหรียญสหรัฐ  ข้าวนึ่ง 100% ตันละ 399 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก ตันละ 387 เหรียญสหรัฐ 
ที่มา โพสต์ทูเดย์ 
   |