สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย (Thai Rice Exporters Association) เมื่อเริ่มต้นมีชื่อว่า “สมาคมค้าข้าวสยาม” (Siam Rice Association) ก่อตั้งขึ้นในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2461 โดยมีนายโง้วเพ็กง้ำ เจ้าของกิจการร้านค้าข้าวสาร “ง้วนเซ้ง” เป็นผู้รวบรวมกลุ่มพ่อค้าข้าวสารขายส่งในตลาดกรุงเทพสมัยนั้น ริเริ่มจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมขึ้นเป็นครั้งแรกต่อกรมตำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางของบรรดาสมาชิกผู้ประกอบการค้าข้าว โดยนายโง้วเพ็กค้ำ ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมคนแรก ต่อมาสมาชิกภาพของสมาคมยังได้ขยายรวมไปถึงผู้ประกอบการโรงสีข้าวบนสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และพ่อค้าข้าวอื่นๆซึ่งดำเนินธุรกิจทั้งที่ส่งออกข้าวไปจำหน่ายต่างประเทศ และค้าภายในประเทศด้วย
ในปี พ.ศ. 2470 สมาคมค้าข้าวสยาม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สมาคมค้าข้าว และได้ดำรงอยู่มาจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงชื่อสมาคมแล้ว ในส่วนของนายกสมาคม กิจการของสมาชิก และสถานที่ทำการ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอีกมากมายหลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2505 สมาคมค้าข้าว ก็ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “สมาคมพ่อค้าข้าวแห่งประเทศไทย (Rice Traders Association)” เพราะสถานภาพของบรรดาสมาชิกส่วนใหญ่ เริ่มก้าวหน้าไปเป็นลักษณะของผู้ส่งออกข้าว มากกว่า โรงสีและผู้ค้าข้าวในประเทศ และเมื่อรัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติสมาคมการค้าและหอการค้า พ.ศ. 2509 สมาคมพ่อค้าข้าวแห่งประเทศไทยก็ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. สมาคมการค้าฯ ดังกล่าว ที่สำนักงานทะเบียนการค้า กรมทะเบียนการค้า เป็นที่เรียบร้อยในปีถัดมา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 สมาคมก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น “สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ (Rice Exporters Association)” มีสมาชิกเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และมีรายได้สามารถมีอาคารที่ทำการเป็นของสมาคมเองได้ ซึ่งยังใช้ดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน ณ.อาคารเลขที่ 37 ซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551 สมาคมได้เปลี่ยนชื่อไปอีกครั้งหนึ่งให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เป็น “สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย (Thai Rice Exporters Association)” เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นการค้าส่งออกข้าวจากประเทศไทย
นับตั้งแต่สมาคมเริ่มก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2559) เป็นเวลา 98 ปี สมาคมมีนายกสมาคมและกรรมการสมาคมมาแล้วทั้งสิ้น 26 ชุด นับเป็นสมาคมการค้าที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง มีบทบาทที่สำคัญอย่างต่อเนื่องมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยสมาคมเป็นตัวจักรสำคัญ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการค้าข้าว ทั้งในและนอกประเทศ อีกทั้งเป็นผู้ผลักดัน ร่วมกับภาครัฐ ในการสร้างให้ข้าวไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกข้าวเลี้ยงประชากรโลก ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ครองสถิติการส่งออกข้าวที่มากที่สุดในโลก ติดต่อกันเป็นเวลากว่าสี่ทศวรรษ (ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 เป็นต้นมา) กลุ่มผู้ส่งออกข้าวไทย เป็นผู้ค้าที่นำเงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาลเข้าสู่ประเทศไทยต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน เป็นคุณูปการกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอด
นอกจากนั้น สมาคมยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีในหมู่สมาชิกผู้ส่งออกข้าว ด้วยการเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างสมาชิก ร้องเรียนปัญหาทางการค้าไปสู่ภาครัฐ รวมทั้งร่วมแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องทางการค้า และให้บริการอื่นๆต่อสมาชิก
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เป็นหนึ่งในสมาคมการค้าที่เป็นสมาชิกของหอการค้าไทย และ สภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย นอกจากนั้น สมาคมยังยังมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความร่วมมือกับสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น สมาคมชาวนาไทย สมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมค้าข้าวไทย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างเสริมความเข้าใจและร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการ ปฏิบัติตามนโยบายการค้าและข้อกำหนดอื่นๆที่รัฐบาลกำหนด อีกทั้งร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์อย่างใกล้ชิด ในการกำหนดนโยบายและจัดกิจกรรมระดับชาติสำคัญๆ เพื่อส่งเสริมข้าวไทย อาทิ โครงการจัดประกวดข้าวหอมมะลิประเทศไทย ที่จัดเป็นประจำทุกปี เพื่อส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์และคุณภาพข้าวหอม, การจัดงาน Thailand Rice Convention ซึ่งเป็นงานสัมมนาวิชาการของข้าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำผู้ซื้อข้าวไทยจากทั่วโลกมาพบปะผู้ส่งออกไทยอีกด้วย
กิจกรรมที่สำคัญอีกประการหนึ่งของสมาคม คือการรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร และสถิติเกี่ยวกับอุตสาหกรรมข้าวไทยและข้าวโลก จากแหล่งต่างๆ รวมทั้งจากการประชุมกรรมการสมาคม เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ภาครัฐ และ มวลสมาชิก
ในด้านการต่างประเทศ สมาคมได้มีการเดินทางพร้อมคณะของทางราชการและหอการค้า ไปยังประเทศต่างๆเพื่อส่งเสริมการค้าข้าวไทย ในโอกาสต่างๆอยู่เสมอ และยังมีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมอาหารเวียดนาม โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องตลาดข้าวทุกๆสัปดาห์ และมีกิจกรรมการประชุมพบปะระหว่างกรรมการของทั้งสองสมาคมร่วมกัน ทุกๆ 6 เดือน
ปัจจุบัน (ณ ธันวาคม 2567) สมาคมมีสมาชิกรวม 170 บริษัท มีกรรมการบริหาร จำนวน 35 คน โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี |